Chapter 01
![]() |
PHEWA LAKE - IN REMEMBER |
**Chapter 01 จะถูกเขียนไว้ในเฟสแล้วนะครับ สำหรับใครที่อ่านแล้วข้ามไปได้**
เมื่อย้อนถึงการใช้ชีวิต3วันแรกหน่อยๆ ในเมืองกาฐมาณฑุ
จริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่าที่เล่ามาบ้างนะ (จากในตอนที่ 01)
เรื่องอาหารการกินก็เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเลยหละ
จะอยู่ยังไงถ้าไม่ได้กิน และยิ่งกว่านั้นคือ
จะกินยังไงในเมื่อแม่งกินไม่ได้
...
เออ จะกินยังไง เป็นที่มาของคำว่า"ไปขี้ยังรู้สึกดีกว่า"
ก็คือประมาณวันที่3 ถ้าจำไม่ผิด
คือเริ่มมีอาการเบื่ออาหารเนปาลมากๆ
มันแบบ เลี่ยนๆมันๆ ผงเครื่องเทศกลิ่นฉุนๆแปลกๆอบอวนไปหมด
จนเริ่มกินกันไม่ไหว อยากกินอาหารต่างชาติ
ก็เลยเริ่มออกเดินไกลขึ้น เพื่อไปหาร้านอาหารต่างชาติ
"เบื่ออาหารเนปาลแล้วอะ ลองไปกินอย่างอื่นบ้างมะ หาๆดู"
แล้วเหมือนโชคชะตาตอบสนองความอยากของเราทันที
"เห้ย ร้านอาหารญี่ปุ่นอะ เห้ยๆๆ"
โอเค แม่งได้ละ ได้ที่เปลี่ยนรสชาติละ
...งั้นก็เข้าไปสิ ไปกันเลยยยยย
สไตล์การตกแต่งร้านแม่งญี่ปุ่นมาก โต๊ะเตี้ยๆ นั่งขัดสมาธิกิน
โห ได้วะ นี่แหละบริบทญี่ปุ่น
แต่ก็รู้สึกขัดใจเล็กๆ เมื่อพนักงานเดินถือเมนูมาถึงโต๊ะ
..หน้าน้องทำไมไม่ญี่ปุ่นเลยอะ.. ก็อาจจะไม่จำเป็นนะ
แต่คือคอนทราสไปเลย ออกแขกๆยิ้มซะสวยเลย
( บางทีชาวต่างชาติอาจจะคิดเหมือนเรา
ตอนที่ได้มากินอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยก็ได้มั้ง )
เออ ก้ไม่เป็นไร เอาเมนูมาดูเลยละกัน
เท่าที่จำๆได้ ภาพในเมนูก็โอเคนะ ดูน่ากินดี
ทำออกมาไม่ได้แพ้ภาพเมนูของฟูจิมากเท่าไหร่
แต่พอจับๆดีเทลได้ ก็เริ่มตะหงิดๆถึงความแปลก
..... ซูชิไก่ ซูชิหมู ปลาทูน่า......
เห้ย นี่คือออออออออออออออออออออ
นี่คืออะไรรรรรรรรรรรร....
ญี่ปุ่นมีงี้ด้วยหราาาาาาาาาาาาาา
หรือเราไม่ค่อยได้ไปกินนานแล้ววะ เออหรืออาจจะมี
หันไปมองหน้าคนในทริป แบบอยากถามว่า พี่กินได้ปะ
ส่วนผมอะได้อยู่ ก็น่าจะลองกินได้ เผื่อเวิร์ค
แต่ดูสีหน้าแต่ละคนแล้วเหมือนได้คำตอบว่า ..กูไม่น่าพากันเข้ามา..
พอหันมามองๆดูทุกคนเสร็จ ก็หันไปหาน้องบ๋อย
น้องบ๋อยก็ยังยิ้มเบาๆให้เราอยู่ แหะๆ
ก็เลยเริ่มสับสนกับตัวเองละว่า เราจะยังไงดีวะ
เหมือนน้องบ๋อยมันก็ลังเลว่า
เรายังจะเชื่อใจในอาหารร้านมันอยู่มั้ยเหมือนกันละ
( แต่บอกเลยกุไม่เชื่อตั้งแต่เห็นเมนูซูชิหมูมึงละ แม่งไม่น่ามีอะ)
แล้วสักพักก็เหมือนว่าเริ่มตกลงกันว่า กินได้ ลองดูละกัน
เพราะหิวมากๆเดินหามานาน
เอาาางั้นตกลง หลังจากนั้นก็เลยสั่งมา3-4อย่าง
และเหมือนจะมีคนสั่งราเมง ...เห้ย เนปาลราเมงก็มีนะ
แต่ผมอะสั่งซูชิหมู(บ้านมากกก) แต่จำไม่ได้ว่าสั่งปลามั้ยนะ
พอสั่งเสร็จก็รอ ก็คุย ก็ถ่ายรูปสมาชิกแต่ละคนเล่นๆไปสักพัก
และแล้วอาหารก็มาจนได้ ....อื้มมม
.....งิด.....
....กริบ....
ราเมงมึงไมเป็นงั้นอะ
พร้อมเอาช้อนส้อมโกยเส้นดูความเป็นไปในถ้วยนั้น
และราเมงไม่มีตะเกียบด้วย มาแบบช้อนส้อม (ยุโรปมาก)
โอเค ดูแล้วเริ่มไม่ใช่ละ ก็ทำใจมันคงไม่เป็นไรมั้ง
เพื่อนผมบอกว่า กินเลยละกัน เผื่อจะดี
ระหว่างนั้นคนในทริปนั่งมองกันตาปริบๆ แต่เฮฮาลุ้นกันใหญ่
"เป็นไง ตะวันนนนนน" ชื่อเพื่อนมหาลัยคนหนึ่งที่ไปด้วย
ไอ่นี่สายฮา อยู่ด้วยแล้วคึกคัก
![]() |
This is TAWAN |
มันก็ค่อยๆเคี้ยว ค่อยๆกลืน แล้วก็พูดขึ้นมาว่า "เชี้ยย แกงจืดชัดๆ"
"โห อะไรเนี่ยยย" 55555555 (คือทุกคนฮาเสียงตะวันมากตอนนั้น)
แล้วมันก็สบถไปเรื่อย แบบขำกันลั่นร้าน มันยิ่งบ่นคนอื่นๆยิ่งขำ
นี่ร้านอาหารญี่ปุ่นเชียวนะมึงงงง
พอจบจากการขำกับไอ่พวกสั่งราเมงมากิน
แล้วก็มาถึงตาเมนูของผมบ้าง นั่นคือ ซูชิหมู
(หรือข้าวห่อหมูวะ)
เออนั่นละ พอมันได้วางอยู่บนโต๊ะปุ๊บ ก่อนหน้านี้ที่ฮาราเมงตะวัน
ก็ได้ กริบ อีกที..
คือ มีแค่ข้าวกับหมูแค่นั้นจริงๆอะ บอกเลย
ละหมูคือหมูห่อใบตองบ้านเราเล๊ยยย ไม่ต่างแค่ไม่เค็มเท่า
คือตลาดนัดตอนเย็นที่บ้านนี่หาซื้อกินง่ายยมากกกกกกกกก
แล้วส่วนข้าว คือ ข้าวจ้าวเนปาลชัดๆ
ไม่มีความเหนียวแบบญี่ปุ่นสักนิ๊ดดด
555555555555555555555
(โอ้ย กูน่าจะไม่แพ้รอยยิ้มของน้องเขาตั้งแต่ตอนแรก ไม่น่าฝืนสั่ง)
คือคิดว่ามันน่าจะเป็นเมนูที่มีโอกาสผิดเพี้ยนจากภาพน้อยที่สุดแล้ว
เอออ แต่ก็จริงที่ภาพไม่ผิดนะ แต่ดีเทลแม่งเละเทะมาก
ยอมมมมมมมมมมแพ้แล้ววว
สักพักตะวันก็กินราเมงแกงจืดไปนิดๆ ทีละนิด ด้วยสีหน้าที่ไม่โอเคเท่าไหร่
ก่อนมันจะบอกว่า ขอกลับห้องก่อนนะ
..กูไปขี้ดีกว่า ไม่ไหวละ..
เหมือนเราจะพากันฮาลั่นต่อใช่มะ
แต่ทุกคนไม่ค่อยฮานะ เพราะดูตะวันแบบเหมือนจะป่วยๆ
ละก็ใกล้วันเดินเขาแล้ว
สุดท้ายไอ้ราเมงแกงจืดนั้นก็เหลือเต็มชาม
เหมือนเหลือไว้บ่งบอกเชฟเลยว่า กูไม่โอเคกับรสชาติจริงๆนะ
ส่วนข้าวห่อหมู แบบซูชินั่น จากที่เคยเป็นของผม
ก็กลายเป็นส่วนรวม คือเอาไปวางไว้ไกลๆกลางๆโต๊ะเลย ..
หลังจากตอนนั้นรู้สึก อยากกิน"ส้มตำ"ขึ้นมาทันที
**จำคำว่าส้มตำท๊าย(ไทย)ไว้ให้ดี เด๋วได้เจอกันแน่**
อาหารทุกอย่างในมื้อนั้นคือน่าจะเหลืออะ ถ้าจำไม่ผิด
มันไม่ได้เรื่องได้ราวเลย รู้สึกกินแล้วไม่อยากจ่าย 5555555
อาหารท้องถิ่นเนปาลยังโอเคกว่ามากๆ
ถ้ามีโอกาสไปนี่อย่าไปแตะอะไรที่ไม่ใช่ของท้องถิ่นเลยนะ
มันดีอยู่แล้ว ฝืนๆกินไปเุถอะ หรืออยากลองก็ลอง (สนุกท้องแน่ หึหึ)
และก็จบไปสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นในเนปาล
ต่อมาก็มาพบว่าคืนนั้นตะวันอาหารเป็นพิษ
และน้องอีก2คนก็เป็นไปตามๆกัน
ซึ่งโชคดีที่เป็นก่อนในวันขึ้นเขา
เพราะมันเหมือนร่างกายได้สร้างภูมิละหละ
เหลือแต่ผมที่ยังรอดอยู่ แบบขำๆสบายๆ
แต่นั่นจะมาเป็นความโชคไม่ดีในอีก2วันถัดมา
มันยังไม่จบง่ายๆแน่ๆสำหรับเรื่องอาหารที่ไปเจอมา
(ชอบหาเรื่องกินกันดีนัก บันเทิงไปดิ)
![]() |
สมาชิกทั้ง5 ขาด1ยังไม่มา - สายคุก สายความรู้ สายเรื่อยๆ สายอ่อน |
Chapter 02
กลับมาสู่จุดเริ่มต้นการเดินทางของวันที่ 4 ในเนปาล นั่นคือ การมุ่งหน้าสู่เมืองโพคลาเมืองแห่งการเดินเขาในดินแดนหิมาลัยทางตะวันตกของเนปาล!!
เราออกจากโรงแรมกันแต่เช้า ประมาณ6โมง
เดินแบกของพะรุงพะรังไปตามถนนซอกซอยโล่งๆของย่านทาเมล
สำหรับลูกหาบ2คนของเรา ค่อนข้างบ่นเรื่องกระเป๋าที่เราเอาให้เขาถือ
ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า มันต้องเป็นปัญหาภายหลังแน่ๆ
ซึ่งก็คือ ได้เสียค่าเช่ากระเป๋าใบใหม่ให้เขาได้แบกของสบายๆขึ้น
...งี้ก็มี...
เดินแบกของพะรุงพะรังไปตามถนนซอกซอยโล่งๆของย่านทาเมล
สำหรับลูกหาบ2คนของเรา ค่อนข้างบ่นเรื่องกระเป๋าที่เราเอาให้เขาถือ
ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า มันต้องเป็นปัญหาภายหลังแน่ๆ
ซึ่งก็คือ ได้เสียค่าเช่ากระเป๋าใบใหม่ให้เขาได้แบกของสบายๆขึ้น
...งี้ก็มี...
ในที่สุดก็เดินมาถึงท่ารถบัส ที่มีรถบัสจอดเรียงรายเต็มริมถนน
การเดินหารถค่อนข้างสับสน เพราะลูกหาบเราก็ต้องพยามติดต่อกับคนจัดคิวให้ได้
ว่ารถของพวกเราคันไหนกันแน่ เลยมีการเดินไป เดินกลับ บวกกับของบนหลัง
เลยรู้สึกว่ายืนเฉยๆรออยู่ที่เดิมจะดีกว่า ให้ลูกหาบมาตามเองเมื่อเขาพร้อม
ไม่นานหลังจากเดินทางออกจากกาฐมาณฑุ
สภาพแวดล้อมด้านนอกตัวรถเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
จากเมืองที่แออัดวุ่นวายและมีฝุ่นควัน
ก็เริ่มมีบ้านเมืองน้อยลง ถนนที่ขรุขระมากขึ้น
และรถของเราก็ขึ้นเขาตั้งแต่เริ่มออกจากเขตชุมชนเมืองทันที
ถนนไปโพคลาค่อนข้างแคบ มีแค่เลนครึ่งถึงสองเลนแบบขรุขระแหว่งๆ
ทำให้การเดินทางค่อนข้างลำบากและล่าช้ามาก
อากาศในเดือนเมษายน ร้อนอบอ้าวทีเดียว ทำให้เมาแดด และเมารถได้ง่ายมาก
โดยเฉพาะผม ซึ่งไม่ชอบการนั่งรถระยะทางไกลๆในตอนกลางวันเอามากๆ
แต่ผมแก้ด้วยการกินยาแก้เมารถก่อนออกเดินทาง
ทำให้ไม่นานก็หลับ และหลับยาวมากๆ จึงมีรูปข้างทางมาฝากให้ดูไม่มากนัก
...เกินฝืนจะถ่ายจริงๆ รถบัสก็ไม่ได้มีแอร์เย็นๆนะ ร้อนมาก และถึงมีไวไฟก็ใช้งานไม่ได้อยู่ดี
การเดินหารถค่อนข้างสับสน เพราะลูกหาบเราก็ต้องพยามติดต่อกับคนจัดคิวให้ได้
ว่ารถของพวกเราคันไหนกันแน่ เลยมีการเดินไป เดินกลับ บวกกับของบนหลัง
เลยรู้สึกว่ายืนเฉยๆรออยู่ที่เดิมจะดีกว่า ให้ลูกหาบมาตามเองเมื่อเขาพร้อม
![]() |
ขึ้นรถบัสละ ตะวันและน้องทุกคนดูสุขภาพดีทีเดียววันนี้ หลังจากป่วยกันมา |
![]() |
ริมทางที่เป็นจุดแวะจอดรับคน ก็มีพ่อค้าแม่ค้านำของมาวางขายทั่วๆไป |
![]() |
พี่คนนี้เดินมาถึงริมหน้าต่างรถ ดูๆแล้วก็ขายไม่ค่อยได้อะนะ |
![]() |
ออกนอกเมืองกันดีกว่า อิสระเสรีในดินแดนที่ไม่เคยสัมผัสรอเราอยู่ |
สภาพแวดล้อมด้านนอกตัวรถเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
จากเมืองที่แออัดวุ่นวายและมีฝุ่นควัน
ก็เริ่มมีบ้านเมืองน้อยลง ถนนที่ขรุขระมากขึ้น
และรถของเราก็ขึ้นเขาตั้งแต่เริ่มออกจากเขตชุมชนเมืองทันที
ถนนไปโพคลาค่อนข้างแคบ มีแค่เลนครึ่งถึงสองเลนแบบขรุขระแหว่งๆ
ทำให้การเดินทางค่อนข้างลำบากและล่าช้ามาก
อากาศในเดือนเมษายน ร้อนอบอ้าวทีเดียว ทำให้เมาแดด และเมารถได้ง่ายมาก
โดยเฉพาะผม ซึ่งไม่ชอบการนั่งรถระยะทางไกลๆในตอนกลางวันเอามากๆ
แต่ผมแก้ด้วยการกินยาแก้เมารถก่อนออกเดินทาง
ทำให้ไม่นานก็หลับ และหลับยาวมากๆ จึงมีรูปข้างทางมาฝากให้ดูไม่มากนัก
...เกินฝืนจะถ่ายจริงๆ รถบัสก็ไม่ได้มีแอร์เย็นๆนะ ร้อนมาก และถึงมีไวไฟก็ใช้งานไม่ได้อยู่ดี
![]() |
ทางจะเป็นรูปแบบโค้งไปโค้งมาตามขอบเขา ซึ่งมีอุบัติเหตุรถตกเขาบ่อยๆ และวันที่เรากลับก็มีเหมือนกัน รถติดกันไปยาวๆ |
![]() |
ภาพการล่องเรือยาง ถ่ายจากเพื่อนในทริปของผม ซึ่งตอนนั้นผมกำลังเพลินกับการหลับ ไม่รับรู้อะไรแล้ว |
![]() |
เริ่มเข้าเขตชุมชน แต่อีกนานกว่าจะถึงเมืองโพคลา |
![]() |
จะมีอะไรแบบนี้อยู่ตามทางตลอด ก็ช่วยลบความแห้งแล้งบนที่ราบภูเขาสูงหน้าร้อนลงได้บ้าง |
ซึ่งอาหารก็จะเป็นแนวๆ ปลาไข่ เส้นหมี่ ผัดผัก ซึ่งเป็นบุฟเฟ่
ผู้หญิงในกลุ่มเราทานกันน้อยก็ตักมาจานเดียวแล้วกินด้วยกัน
ส่วนพวกผู้ชายก็คนละจานๆไป
ส่วนรถชาติก็พอทานได้ ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเท่าไหร่แค่เครื่องเทศฉุนๆหน่อย
ซึ่งพอทานเสร็จเราก็เริ่มทำความรู้จักกับลูกหาบของเรา
คนแรกชื่อ ราชา (Raja) ซึ่งพูดอังกฤษได้ค่อนข้างดีทีเดียว
ส่วนคนที่สองชื่อ รามกิสนา คนนี้พูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้ แต่ก็พอฟังออกบ้างมั้ง
ก็ยังรู้สึกเกร็งๆที่จะคุยๆกันนะ แบบยังจูนกันไม่ติด
แต่เดี๋ยวพอได้เดินขึ้นเขานี่ คุยกันปร๋อไม่หยุดไม่หย่อน ยกเว้นตอนเหนื่อย
![]() |
คนซ้ายคือ ราชา ส่วนคนขวาคือ รามกิสนา เห็นตัวเท่านี้ถึกกว่าม้าทั้งคู่ กล้ามเนื้อเน้นๆ |
Chapter 03
หลังจากที่เราเดินทางต่อไปอีกประมาณ3ชม.เศษๆ
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมืองโพคลา เมืองที่มีทะเลสาปเฟวาเป็นไฮไลท์
และมีภูเขาเป็นฉากตอนรับผู้มาเยือนแบบเราอย่างยิ่งใหญ่
พอเห็นภูเขาตรงหน้าแล้ว ทำให้นึกกับตัวเองว่า
นี่เรากำลังจะได้สัมผัสเทือกเขาหิมาลัยแล้วจริงๆใช่มั้ย
ความฝัน การวางแผน ทุกอย่างที่คิด มันกำลังจะมาถึงแล้วในวันถัดไป
ขอให้ไปถึงจุดหมาย แบบไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นละกันนะ
"นมัสเต หิมาลัย"
![]() |
Namaste Himalayan |
หลังจากลงรถเราก็เดินตามลูกหาบเราไป 1กม.ได้
เพื่อไปยังโรงแรมที่บุ๊คไว้โดยบริษัททัวร์ของเรา
ซึ่งถือว่าได้วอร์มร่างกายไปในตัว เพราะน้ำหนักบนหลังก็ใช้ได้ทีเดียวตอนนี้
เฉลี่ยน้ำหนักบนหลังผู้ชายเราจะอยู่ที่ 6-7 กิโล
แต่ตัวผมจะแบกNikonพร้อมเลนส์2ตัว ซึ่งแค่นี้ก็3กิโลแล้ว
ส่วนผู้หญิงจะอยู่ที่ประมาณ 4 กิโล
แต่ก็จะลดลงตามระยะเวลา เพราะเกือบครึ่งเป็นอาหารที่พกมา
ส่วนลูกหาบเราแบกของอยู่ที่เกือบๆ10กว่ากิโล
เป็นอาหารแทบจะทั้งหมด แต่ก็มีเสื้อผ้าบ้างและอุปกรณ์ทำอาหาร
ซึ่งบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารไปเลยนะ
ที่พักแทบจะทั้งหมดไม่อนุญาติให้เราทำอาหาร ถึงอนุญาติก็ได้บางอย่าง
...ก็แย่หน่อย แต่มันคือรายได้ของเขา...
ที่พักบนนั้นมีราคาถูกมากๆ เพียงห้องละ 300 บาทและนอนได้3คนแทบทุกที่
ก็หารไปตกคนละแค่100เดียว แต่ราคาอาหารจะแพงขึ้นตามความสูงและแพงมากๆ
โอเค เดินมาถึงที่พักกันสักทีนะ แล้วจะเล่าในรายละเอียดอีกทีตอนอยู่บนเขาครับ
![]() |
ภาพวิวเมืองโพคลาจากบนระเบียงที่พัก |
![]() |
ตะวันผู้เป็นมือถ่ายเซลฟี่ จริงๆถ้าตะวันคนนี้ไม่หลงคำเชิญชวนของผม ทริปนี้คงเงียบลงเยอะแยะเลย |
หลังจากเก็บของเข้าห้อนพัก เราก็เริ่มเดินสายตะเวณทัวร์รอบเมือง
ซึ่งเมืองนี้มีทะเลสาปเฟวาที่สวยมากๆ จากเทปรายการ รอยเท้าความฝัน ผู้คน ดนตรี
ก็ทำให้ผมอยากจะไปสัมผัสทะเลสาปแห่งนี้ด้วยตาตัวเองมากๆ
ก็เลยแนะนำเพื่อนๆให้พากันเดินไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่นั่นกัน
แต่ระหว่างทางพวกสาวๆก็เดินหาอุปกรณ์เดินเขาเพิ่มไปพลางๆ
ส่วนตะวันกับผมก็ไปเดินหาถุงนอนเพิ่ม สำรองไว้เผื่อเจออากาศหนาวแบบทนไม่ไหว
![]() |
ของพวกนี้ได้แต่มอง แพงจริงไรจริง ไม่สู้อะ |
![]() |
ริมทะเลสาปก็ยังมีควายเดินเหมือนเดิม |
![]() |
เฟวาเลค - ทะเลสาปคู่เมืองโพคลา มีกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งพารามอเตอร์ พายเรือ นั่งเรือ เช่ามอไซต์ขับ |
![]() |
บางทีแค่นั่งมองก็พอแล้วหละ ... อ่อ ไม่มีตังค์ |
พอดวงอาทิตย์เริ่มลับสันเขาไป
เราก็เริ่มกลับมาที่พักกันต่อ คืนนั้นจำได้ว่าผมโครตหิว
ก็เลยเข้าไปหาตะวันที่ห้อง ไปนั่งเล่นนั่งคุยแก้หิวและแก้เบื่อ
และก็มาแพ็คของเข้ากระเป๋าด้วย เพื่อจะได้พร้อมสำหรับการเดินพรุ่งนี้
แต่อยู่ดีๆตะวันก็หยิบซองมาม่าต้มยำกุ้งขึ้นมา
เท่านั้นแหละ เริ่มหิวขึ้นมาอีกแบบมากขึ้นทวีคูณ
เลยขอตะวันกินสักห่อหน่อย เลยออกไปยืนริมระเบียงแกมาม่าจัมโบ้กินไปคุยไป
ไม่รู้วันพรุ่งนี้การเดินจะเป็นยังไง ก็ได้แต่คุยเล่นๆแก้ความตื่นเต้นไปเรื่อยๆ
.
สำหรับมาม่านั้นเป็นอาหารที่ช่วยลดความคิดถึงอาหารไทยลงไปได้เป็นอย่างดี
ถ้าไปเที่ยวที่ไหน ซื้อติดไม้ติดมือไว้ก็ไม่เสียหายนะ มันช่วยได้จริงๆ
รวมทั้งซอสแม็คกี้ ก็สำคัญไม่แพ้กัน
.
เสียงนาฬิกาปลุกกังขึ้นในตอนเช้ามืด
ผมเข้าห้องน้ำอาบน้ำจัดแจงตัวเองให้พร้อม
จากนั้นก็เดินไปห้องตะวันว่าตื่นกันหรือยัง
และก็ลงไปที่ห้องสาวๆ เพื่อเคาะเช็คว่าตื่นกันแล้ว
สุดท้ายก็ช่วยกันทยอยขนของลงมาที่ชั้นหนึ่งของที่พัก
เพื่อรอรถออฟโร๊ดมารับเพื่่อไปยังหมู่บ้าน NAYAPUL
ซึ่งเป็นหมู่บ้านเริ่มต้นของการเทรคครั้งนี้
![]() |
ถนนจจะเป็นแบบเลนครึ่ง คือไม่คันใดคันหนึ่งต้องหลบลงไปข้างทางเมื่อรถสวนกัน และไหล่ทางมักไม่มีรั้วกัน ตกคือตก |
![]() |
สภาพในรถคือแน่นพอดี ถามว่าเมารถมั้ย ..เมามากๆ |
Chapter 04
เรานั่งรถกันมาประมาณ1ชม. ในที่สุดก็ถึงหมู่บ้าน NAYAPUL
บอกตรงๆโครตเพลีย ไม่พร้อมจะแบกกระเป๋าเดินกลางแดดร้อนๆสักนิด
ก็เลยพากันนั่งพักกินน้ำกินลมทำใจกันก่อน
เพราะถ้าเริ่มเดินแล้ว ก็คือทิ้งคำว่า"สบาย"ไปได้เลย
เราจึงใช้เวลาตรงนี้อยู่เกือบชั่วโมงได้
ซึ่งจริงๆจุดนี้เราก็เจอคนไทยเหมือนกัน 2 คนเท่านั้น เป็นแฟนกัน
ผู้ชายแบกของ ผู้หญิงตัวปลิว พร้อมลูกหาบ1คน
![]() |
เฝ้าดูของที่กำลังขนลงจากหลังคารถ เพราะเอาจริงๆคือ รถวิ่งไวและเหวี่ยงมากๆ เลยพะวงว่าของจะหล่นจากรถเหมือนกัน |
![]() |
เริ่มหาที่นั่งพักและซื้อของกินกัน เพราะของกินข้างล่างถูกกว่าบนเขามากๆ |
![]() |
นั่งมองชาวเนปาลที่มาเดินเขาเล่นๆระหว่างนั่งพัก |
![]() |
ไอเทมของเราทั้ง 6 และลูกหาบอีก 2 ไม่ถือว่าน้อยเลยนะ |
หลังจากพักผ่อนเรียบร้อย บวกกับลูกหาบมาถามหลายครั้งมาก
ว่าจะเริ่มเดินกันหรือยัง เพราะกลัวเราไปถึงค่ำ
ซึ่งส่วนหนึ่งเขายังไม่รู้ว่ากลุ่มเราเดินกันเร็วแค่ไหน
ซึ่งส่วนหนึ่งเขายังไม่รู้ว่ากลุ่มเราเดินกันเร็วแค่ไหน
จึงอยากให้รีบออกเดินกันไวไว
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว กลุ่มเราถือว่าเดินไวนะ ถ้าให้เทียบกับคนแก่ๆอายุ60-70
(อืม นั่นแหละ ไวที่สุดละหละ หึหึ)
โอเค เริ่มเดินกันดีกว่า เดี๋ยวไปไม่ถึงสักที
![]() |
จุดนี้เป็นหมู่บ้านใหญ่ มีสะพานเหล็กเชื่อมสองฝั่ง ซึ่งถือเป็นจุดเช็คพ๊อยแรกของการเดิน ถ้าไม่นับจุดที่เอาของลงรถนะ |
อากาศจุดนี้ถือว่าร้อนและแห้งทีเดียว
แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร ก็เดินเรื่อยๆเพลินๆแรงเหลือๆ
ไม้เทรคที่ติดมาด้วยไม่เห็นต้องใช้เลย
(หึหึ แรงเหลือมากสินะ)
![]() |
จำนวนบ้านคนเริ่มน้อยลง ตามระยะทางที่เราเดินกันไป |
![]() |
มีม้าด้วย คือ จุดนี้สามารถพักผ่อนสายตาของผมได้เยอะ เพราะที่ผ่านมาเป็นดินแห้งต้นไม้น้อยมากๆ รู้สึกไม่สบายตา |
![]() |
ร้อนตับแลบ พูดจากความรู้สึกที่เดินอยู่ตรงนั้น |
![]() |
ทางช่วงแรกๆค่อนข้างสบายๆ จะค่อยๆไต่ความสูงไปช้าๆ แค่ถ้ามาช่วงเมษาก็เจอแดดแบบนี้เป็นปกติ |
![]() |
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่ตั้งโรงแรมของเรา ซึ่งก็จำไม่ได้ว่าเดินมากี่ชั่วโมง น่าจะ2-3ชั่วโมงได้ ถือว่าเบาๆยืดเส้นไป |
![]() |
ที่พักของเราห้องผู้หญิงจะอยู่มุมทางเดินด้านซ้าย ส่วนห้องผมจะอยู่ตรงกลางภาพพอดี |
Chapter 05
ที่พักจุดนี้ ชื่อ TIKHE DHUNGA
เป็นจุดพักชิลๆก่อนถึงทางหฤโหดในวันพรุ่งนี้
และน่าจะโหดที่สุดของการเทรคครั้งนี้
เพราะทางในวันพรุ่งนี้จะถูกบางคนเรียกว่า บันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
และอีกอย่างมันเป็นการเทรควันที่สองเท่านั้น ร่างกายอาจยังไม่พร้อมรับสภาพเท่าไหร่
ทำให้บันไดหลายพันขั้นในวันพรุ่งนี้ จะเป็นบททดสอบที่โหดมาก
แต่ไม่ใช่สำหรับผมหรอก (5555555555555)
.
ในเย็นวันนี้ที่ TIKHE DHUNGA หลังจากไปเล่นน้ำตกเย็นชุ่มฉ่ำมา
กับ ราชา ตะวัน และน้องผู้หญิงอีกคน
สภาพร่างกายของผมเริ่มไม่ปกติขึ้นมาจนได้
มีอาการเวียนๆมึนๆ อ่อนเพลียมาก แม้จะเฮฮาเพราะสนุกกับการคุยกับราชา
แต่ก็รู้สึกผิดปกติอยู่ดี ตอนแรกคิดว่ากลิ่นกัญชาที่ราชาและพวกฝรั่งสูบ
แต่ก็ไม่ใช่ จนคืนนั้นหลังจากหลับไปไม่กี่ชั่วโมง
ผมก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการคลื่นใส้ จนฝ่าความมืดด้วยไฟฉายคาดหัวที่พกมา
ไปยังห้องน้ำมืดสนิทที่ไม่เคยเข้ามาก่อน
(บนเขาจะใช้เครื่องปั่นไฟ ซึ่งจะเปิดปิดเป็นเวลา)
อากาศข้างนอกเย็นมาก สัมผัสได้ถึงไอน้ำรอบตัว
เมื่อได้ที่ท้องใส้ผมก็เริ่มบันเลง เนื้อทูน่าที่ผมแวะสั่งจากริมทางเมื่อตอนบ่ายออกมา
ท้องผมบันเลงตั้งแต่ตี2 จนไปถึงตี5 ของวันนั้น
รวมๆแล้วผมอาเจียนออกไปทั้งหมด12ครั้ง
ทั้งหมดคือทูน่าและขนมปัง ที่กินมาตั้งแต่เที่ยงและเย็น
...โครตแย่...
.
![]() |
ธารน้ำตกที่ไหลมาจากจุดที่ผมเล่นน้ำกัน น้ำเย็นมากๆ มีปลาด้วย |
![]() |
กัญชาเป็นของไม่ผิดกฏหมายสำหรับพื้นที่ห่างไกลบนเขานี้ แต่ถ้านำลงไปก็เข้าคุก |
![]() |
ราชาโชว์วิธีแก้เหนื่อยด้วยการทำกัญชาและแบ่งให้ลองสูบ แต่แค่ปืดเดียวผมก็สำลักควันออกมาโดยที่ยังไม่ได้รสชาติเลย |
สำหรับเรื่องกัญชา ราชาและรามกิสนา 2ลูกหาบของเราจะสูบแทบทุกจุดพัก
และหลังจากนั้นจะคึกคักเป็นพิเศษ พาทำเอาพวกเราสนุกไปด้วย
นึกแล้วก็ยังขำ แต่ในความเฮฮาของราชา มีความเศร้าหมองซ่อนอยู่
ต้องบอกว่า มากมาย
.
ซึ่งต่อไปจะถึงจุดๆหนึ่งของสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วราชาจะเฉลยให้เราฟัง
.
กลับมาที่การเดินทางของเรา
ในเช้าวันถัดมาผมสงสัยในตัวเองมากว่า ร่างกายของผมจะไหวหรือเปล่า
ผมคิดตลอดว่า ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
เพราะอย่างน้อยก็นอนหลับไปตั้งแต่ตี5 และตื่นขึ้นเกือบๆ6โมงครึ่ง
ก็ยังได้นอนอยู่ และรู้สึกว่าตัวเองหยุดอ้วกแล้ว
เช้าวันนั้นผมคุยกับน้องผู้หญิงที่นั่งอยู่เล่นอยู่ที่โขดหินริมผาเกี่ยวกับอาการนี้
และก็มาบอกราชาว่าเมื่อคืนผมอ้วกไม่หยุดเลย
น่าจะเพราะอาหารเป็นพิษ ซึ่งราชาก็บอกกลับมาว่า
โอเค ผมจะดูคุณไว้ และเราสองคนจะไปกันช้าๆ ไม่ต้องรีบ
.
เราเดินกันมาประมาณแค่ 10 นาที ผมก็เกิดอาหารอ้วกอีกครั้ง
และมือของผมก็ไปโดนกับต้นไม้พิษ ขณะจะยันโขดหินเพื่อไม่ให้ล้ม
ซึ่งเป็นต้นไม้เล็กๆมีใบตะปุ่มตะป่ำทั้งใบ
ถึงเวลานี้ผมรู้สึกคันและแสบร้อนมากทันทีที่มือไปโดนมัน
ราชารีบเอาสมุนไพร ซึ่งขึ้นอยู่ไม่ห่างกันมากมาขย่ำๆและทาที่มือของผม
ผมทั้งอ้วกทั้งมองไปที่มือ ที่ตอนนี้ขึ้นเป็นตุ่มๆสีม่วงสีส้มแล้ว ในจุดนั้น ทรมานไปหมด
จากนั้นราชาเริ่มระบายของจากกระเป๋าของผม ไปใส่ในกระเป๋าของเขา
เพื่อลดน้ำหนักในตัวผม เพราะตอนนั้นบอกเลยว่า ผมโซเซมากๆ
![]() |
ผมล้มแล้ว ชีพจรต่ำเพราะขาดน้ำและเกลือแร่ ไม่สามารถทานอะไรได้เลยในตอนนี้ |
ราชาเข้ามาบอกผมว่า เราอาจสามารถไปต่อได้ด้วยม้า
และยังไงผมก็ไม่ยอมลงจากเขาแน่ๆ
ในที่สุดก็คุยกันเรื่องราคาของม้าที่จะพาผมขึ้นไปต่อ
ผมต้องพึ่งม้าละหละ
ราคาม้าจะอยู่ที่ 3000บาท/วัน ซึ่งใครจะได้ถูกกว่านี้ผมไม่รู้
แต่ผมยอมจ่ายแล้วในตอนนั้น
สำหรับหน้ากากยักษ์ที่ผมอยากได้กลับไป คงต้องฝันไปก่อน
.
ผมนอนรอม้าอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง
ขณะที่คนอื่นๆ เดินนำผมขึ้นไปหมดแล้ว
ถ้ามัวแต่รอ สงสัยวันนี้ไม่ถึงแน่ เพราะทางโหดมาก
บันไดของเส้นทางขึ้นนี้จะมีประมาณ 3000 ขั้นหรือมากกว่า
และมีทางราดชัน บวกกับทางราบอีกนิดหน่อย
ถือว่าสาหัสพอสมควร สำหรับมือใหม่อย่างพวกเรา
.
หลังจากนอนยาวๆไป
ผมก็ได้ยินเสียงม้าเดินขึ้นมา
ทำให้ผมเตรียมตัวเอง ให้ลุกขึ้นมาให้ได้ เพราะรู้ว่าม้าตัวเองแน่ๆ
ซึ่งคงมีน้อยคนนักที่จะได้ลองรสชาติการขี่ม้าขึ้นภูเขา
เพราะทุกคนมาที่นี่ก็คงเอาแต่เดินกันอย่างเดียว
ถือเป็นโชคร้ายที่มอบประสบการณ์ใหม่ให้ชีวิตทีเดียว
![]() |
ณ จุดๆนี้ เท้าทั้งสองจะไม่มีทางแตะพื้นโลกเด็ดขาด จำไว้ 55555555 |
![]() |
เละเทะไปหมดร่างกาย ทั้งวันกินแต่ซุปกระเทียม และน้ำมะนาวตาที่ราชาแนะนำ และตอนนี้กูก็อัพเวลเป็นไนท์เรียบร้อย เก่งจริงๆ |
![]() |
เส้นทางวันที่สองจะเป็นแบบนี้เกินครึ้ง ขึ้นไปเรื่อยๆตั้งแต่7โมงเช้า ตกบ่ายก็ยังไม่หมด |
![]() |
ผ่านหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่าก็ยังมีบันไดเสมอ |
![]() |
พักไปสิ พวกเดินเท้า หึหึ |
![]() |
สูงชันแค่ไหน จัดมาให้พอใจ ม้าหอบแต่คนขี่ไม่หอบ |
![]() |
มีแพะด้วยอะ น่ารักดี |
![]() |
ตรงนี้ พวกนี้มันเข้าใจผิดกัน นึกว่าถึงแล้ว จริงๆยังต้องขึ้นไปอีกตังหาก ผมขี่ม้า ผมนำมาก่อน ผมรู้หมดแล้ว 5555555555 |
กว่าจะมาถึงที่หมายคือหมู่บ้าน GHOREPANI ขอบอกว่า ไม่เหนื่อยเลยอะ..
แต่ไม่รู้พวกเดินเท้าเขาเหนื่อยแค่ไหน แต่สงสัยจะเละเทะมาก
(ต้องไปถามเขาดู อิอิ)
หลังจากจ่ายเงินค่าม้าเสร็จ ผมก็นั่งรอเพื่อนไปเรื่อยๆ อากาศก็หนาวๆ
ตอนนั้นน่าจะ10องศาได้ ซึ่งเวลาก็ประมาณ5โมงเย็นแล้วหละ
ทุกคนที่นั่งอยู่ตามล็อบบี้โรงแรมต่างๆ ก็ดูเฮฮากันมาก ดูมีความสุขทุกคน
ชาวบ้านออกมาเล่นกีฬากัน เด็กๆวิ่งเล่นกันท่ามกลางอากาศแบบนี้อย่างสนุกสนาน
ก็ถือเป็นภาพที่โอเคเลยหละ สำหรับการนั่งพักผ่อนของผม
.
ไม่นาน ราชาก็เข้ามาถามถึงอาการว่าโอเครึยัง
และระหว่างที่ทานอาหารเราก็คุยกันเฮฮากันมาก
ราชาก็เลยแซวๆผมว่า คุณดูแฮปปี้มากๆคงไม่ป่วยแล้วแน่ๆ ไม่ต้องขี่ม้าแล้วใช่มั้ย
ซึ่งแน่นอน ผมกลับมาแล้ว และพร้อมเจอทุกอย่างแล้ว
![]() |
โรงแรมฝั่งตรงข้าม ผู้คนเฮฮากันเหมือนพวกเรา |
![]() |
ผมนั่งมองวิวข้างนอกบ้าง ดอกไม้ริมหน้าต่างบ้าง ถือว่าสงบใจมากในตอนนั้น |
![]() |
รูปภาพต่างๆเกี่ยวกับหิมาลัยถูกแปะไว้ และทางซ้ายมือคือเตาที่ให้ความอุ่นในค่ำคืนที่หนาวเย็น |
หลังจากทานข้าวกันเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างกลับขึ้นไปพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ
เพราะพรุ่งนี้เช้า เราต้องตื่นไปดูแสงอาทิตย์ขึ้นที่ POON HILL ตั้งแต่ตี4
ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ที่สุดของคนที่มีเวลาเที่ยวเนปาลแค่7วันและต้องกลับไปทำงาน
(ของพวกผม15วันเศษยิงยาวถึงเบสแคมป์ คือมาแล้วต้องจัดเต็ม)
จุดๆนี้จะเป็นจุดที่มีทิวเขาล้อมรอบ 180 องศา
บวกกับแสงอาทิตย์ที่จะขึ้นหลังทิวเขาพวกนั้น คิดแล้วคงสวยไม่น้อย
แต่ก็นั่นแหละ ตามโชคของสภาพอากาศด้วย ถ้าอยากสวยสดจริงๆให้มาเดือนตุลา
แต่จะหนาวตับแข็งแน่ๆถ้าชุดไม่พร้อม
.
โอเค ได้เวลาพักผ่อน แล้วจะมายิงยาวต่อในตอนหน้า
ตั้งแต่ POONHILL ถึง BASECAMP เลย
สำหรับวันนี้ คงพอรู้รสชาติของภูเขาลูกนี้ไปบ้างละ แต่มันยังไม่หมดแน่ๆ
มีอีกมาก เพราะฤดูนี้(เมษา) ทุกระดับความสูงมีทุกอย่างในตัวมันเอง
.....
ยังไงถ้าสนใจเรื่องเล่าอื่นๆ ก็กดติดตามในเพจนี้ได้นะครับ
![]() |
Keep Going |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น