วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Postcard from : Ananpurna Base Camp ,Nepal 01

Chapter 01

การเข้ามาของดินแดนหิมาลัยในหัวของผม มันมาแบบไม่ทันตั้งตัว
ไม่เคยฝันหรือหาข้อมูลมาก่อน แค่รู้สึกว่าอยู่ดีๆเราก็หลงไหลมันเข้าไปแล้ว
จากการแค่เปิดเทปย้อนหลังของรายการ "รอยเท้า ความฝัน ผู้คนดนตรี"
และจากการเปิดกูเกิลดูภาพไปเรื่อยๆ พร้อมเซฟเก็บ
แต่ก็แค่มีไว้ฝันถึงว่าสักวันจะไป เพราะทำงานประจำอยู่ด้วยเลยหาเวลายากมากๆ
แล้วจนกระทั่งต่อมาก็มีเหตุให้ผม ต้องเลิกทำงานประจำไป ไม่ได้ไปทำไม่ดีไรไว้นะ 55
และตอนนั้นก็เริ่มฝันถึงดินแดนนี้อีกครั้ง 
ก็เลยเริ่มหาข้อมูลอีกครั้งว่า เราจะไปประเทศไหน ไปยังไง งบ ระยะเวลา
หาจากทุกอย่างทั้งหนังสือ เว็ปพันทิพ และเว็ปอื่นๆเท่าที่จะหาได้
จนเริ่มรู้เรื่องรู้ราวกับเขาขึ้นมาบ้าง ต่อมานั่นคือหาเพื่อนร่วมเดินทางให้ได้
และก็เหลือแค่รอ ให้ถึงเดือนเมษายน เพื่อเริ่มการเดินทาง

ภาพแรกเมื่อมาถึงเมืองกาฐมาณฑุ ในเดือนเมษาแทบไม่มีพื้นที่สีเขียวจากทุ่งนานักเมื่อมองลงมา

Chapter 02

อันนะปุรณะเป็นภูเขาที่มีความสูงประมาณ 8,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล 
ส่วนที่ๆเป็นจุดหมายของเราเป็น Base Camp ที่มีความสูงประมาณ 4,000 เมตร
ซึ่งแค่นั้นก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับร่างกายที่ถูกเตรียมมาในช่วงสั้นๆแล้วหละ
ถ้าให้ปีนต่อไปถึงยอดเขา สงสัยจะหาเรื่องไปเป็นผีเฝ้าภูเขาเปล่าๆ
เฉลี่ยการเดินแต่ละวันจะเดิน 7 ช.ม./วัน ตอนสบายจะได้ภาพมาเก็บไว้
แต่ตอนหอบแฮกจะมีแค่การก้มหน้าก้มตาเดินไปเฉยๆ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น
แต่ผมโชคดีอย่าง คือ ได้ขี่ม้าตั้ง1วันในช่วงวันที่2ของการเทรค
เพราะเผลอสั่งทูน่าบูดมากิน ได้อ้วกเละเทะกันทีเดียว (ทั้งคืน ไม่ได้นอน)
ย่านทาเมล ย่านที่มีทุกๆอย่างที่จำเป็นในการเทรค รวมถึงของฝากกลับบ้านด้วย

Chapter 03

เกริ่นๆหน่อยคือ
เนปาลเป็นประเทศที่มีความยากจนอยู่อันดับท้ายๆของโลก
บ้านเมืองหลังจากผ่านแผ่นดินไหวมาจะครบ1ปีก็ยังบูรณะไม่หมดนะ
ก็ยังมีค่ายของคนไร้บ้านอยู่ และก็ยังมีเศษอิฐกองๆบ้าง รวมถึงการเอาไม้ค้ำตึกไว้ด้วย
แต่จะว่าไปชีวิตของคนที่นั่นไม่ได้มีความดิ้นรนเหมือนคนบ้านเราเลยนะ
ในช่วงที่ผมไปอยู่ประมาณ 15 วัน ผมได้มองดูชีวิตผู้คนที่นั่นไปเรื่อยๆเหมือนกัน
มันเลยมีความคิดหนึ่งลอยมาในหัวว่า ประเทศของเขาไม่น่าเป็นประเทศที่ใครที่ไหน
จะมาจับจ้องหาที่ลงทุนแน่ๆ เหมือนกับคนจนๆคนหนึ่ง
ที่ไม่มีคนรวยที่ไหนจะเดินทางเอาของมาล่อตาล่อใจ
เพราะก็รู้ว่าไม่มีเงินจะซื้อแน่ๆ คนเนปาลจึงไม่มีความดิ้นรนที่จะอยากได้อะไร
ที่ไม่ได้มีความจำเป็นในชีวิต คืออะไรที่จำเป็นในการอยู่รอดก็ขอแค่นั้น
และผู้คนที่นั่นออกไปทำงานสายกันมากๆ และก็เลิกงานไวมากเช่นกัน
เหมือนทั้งวันไม่มีอะไรให้ทำมากมาย(มั้ง) แม้แต่ร้านค้าย่านทาเมลยังปิดไวเลย
คือ3ทุ่มก็ปิดไฟปิดร้านนอนกันแล้ว แต่ก็อาจเป็นเพราะนโยบายการประหยัดไฟก็ได้
เพราะเมืองกาฐมาณฑุจะเริ่มตัดไฟเป็นเขตๆไปตามความจำเป็นในตอนกลางคืน
สำหรับห้างสรรพสินค้าที่นั่น ก็มีเพียงห้างเดียว แต่ก็กำลังมีการก่อสร้างอีกแห่งเช่นกัน
ร้านโชห่วยในเมืองๆนี้เลยยังทำมาค้าขายได้สบายๆ ซึ่งต่างจากบ้านเรามากๆ
ที่โชห่วยแทบจะปิดตัวลงเพราะห้างสรรพสินค้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
เนปาลก็ประมาณนี้ คือนี่เล่าแบบบ้านๆเลยนะ
ถนนย่านที่พักใจกลางทาเมลของเรา มาแบบบ้านๆเลยมะ 
สถานที่ทางศาสนาฮินดู ที่หลบสายตานักท่องเที่ยวอยู่ในซอกหลืบย่านทาเมล

Chapter 04

ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องการท่องเที่ยวต่อจากนี้
ขอย้อนไปตอน ก่อนที่ผมจะชวนเพื่อนๆบินมาที่ประเทศนี้ ตอนแรกก็แพลนว่า
จะเดินทางหารถ หาลูกหาบกันเอง ไม่พึ่งทัวร์ของที่นั่น แต่ด้วยความใจอ่อนใจง่าย 
ก็เลยเสร็จพวกคนจากกลุ่มบริษัทนำเที่ยวที่มาดักรอคนอย่างเรา
ตั้งแต่ทางออกสนามบินจนได้ การเดินทางครั้งนี้เลยได้โปรแกรมทัวร์เพิ่ม 
จากตอนแรกที่คิดว่าจะนอนเล่น เดินเล่นย่านทาเมล 3วัน ให้เบื่อตายไปเลย 
เพื่อรอเพื่อนอีกคนที่จะบินตามมาทีหลัง ก็กลายเป็นว่าได้เที่ยวในย่านต่างๆเพิ่มซะงั้น 
ก็สนุกดี สนุกมาก และจะสนุกที่สุดถ้างบไม่บานกระจายจนเกินลิมิต 
ซึ่งก็ห้ามไม่ทัน ก็เลยมีการติดหนี้ติดสินกันเกิดขึ้น (ฮ่าาา)
แต่ก็นะ เป็นประสบการณ์ และได้ภาพจากที่ต่างๆมาเพิ่มเติมด้วย 
ตอนนี้คิดย้อนไปก็คุ้มนะ คุ้มมาก ทียอมจ่ายเพิ่มนอกแพลน ถ้าไม่เที่ยวคงเบื่อตาย
แล้วคงจะถามตัวเองจนได้ว่า ไม่เที่ยวให้คุ้มแล้วจะมาทำไม ใช่มะ?
แล้วก็เอาละ ไปเดินเล่นกันเถอะ

ของที่ผมอยากอยากได้มากที่สุด คือหน้ากากพวกนั้น แต่หมดเงินไปกับค่าจ้างม้าในวันที่ป่วยบนเขา
นี้คือการไปเดินเล่นมั่วๆของพวกเรา ไปเจอเด็กเล่นคริกเก็ตกันอยู่ ซึ่งนิยมในประเทศอินเดียและคงแพร่มาถึงเนปาล
ก็เพลินดี ดูกันไปพักใหญ่ แม้อากาศจะร้อนก็ตาม

Chapter 05

หลังจากโดนล่อลวงไปทำสัญญาการทัวร์ในเมืองพร้อมสัญญาเทรคบนเขาในตอนเช้า
ตอนเที่ยงๆก็เริ่มการท่องเทียววันแรกซึ่งเป็นไฮไลท์ของเมืองกาฏมาณฑุ(สำหรับผม)
นั่นคือไปดูพิธีเผาศพ ที่มีคนล่ำลือว่าเผากันแบบเปิดเผยไม่ต้องเผาในเตาแบบศาสนาพุทธ
ที่ "วัดปศุปฏินาศ" ซึ่งห่างจากทาเมลแค่7-8กิโลเมตรเท่านั้น
วัดนี้เป็นวัดของชาวฮินดูที่จะพากันมาศักการะเจ้าแม่กาลี และบูชายันต์สัตว์ต่างๆ
คือตอนที่ไปตรงที่เขามีการบูชายันต์นี่ จะเห็นแมลงวันบินตอมเลือดแบบไม่ไปไหนเลย
รวมถึงการนำคนในครอบครัวที่เสียชีวิตมาทำพิธีเผาศพ ส่งวิญญาณกลับคืนสู่ธรรมชาติ
แบบว่ากลับไปตามธาตุต่างๆ ดินน้ำลมไฟนั่นหละ 
ส่วนกษัตริย์ก็ทำพิธีที่นี่เหมือนกัน แต่คนละจุดกับคนธรรมดาทั่วไป
ส่วนคนจนๆนะหรอ ไม่ได้มาทำอะไรที่นี่หรอก ไปทำอยู่ชายขอบนู่นเพราะไม่มีตังค์จ่าย

วัดปศุปฏินาศ สำหรับตึกผนังสีขาวด้านซ้ายมือ เป็นที่สำหรับดูแลคนชรายากไร้ซึ่งมีข้อแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งผมก็ลืมไปแล้วหละ
ภาพของผู้หญิง ญาติๆ และไม่ใช่ญาติ ที่มาคอยดูพิธีการเผาศพอยู่ห่างๆ
ภาพการเตรียมศพ ริมแม่น้ำ(จำชื่อไม่ได้)แต่ไกด์บอกว่า ไหลไปรวมกับแม่น้ำคงคาที่อินเดีย
ปกติภาพนี้จะเกิดขึ้นทั้งวัน และยิ่งช่วงหลังแผ่นดินไหวหใหม่ๆนี่เผากันทั้งวันทั้งคืน จนศพลอยไปตามน้ำแทบไม่ทัน
อันนี้อีกศพ ที่เตรียมรอเผาเช่นกัน คือมันจะมารอแบบนี้เรื่อยๆ .. ธรรมดา
โยคี(เขาบอกว่ากลุ่มนี้ตัวจริง)ที่มีอยู่เกลื่อนตามวัดนี้ทั่วไป ซึ่งเขาบอกว่ามันมีทั้งโยคีจริงและปลอม
ก็เหมือนพระปลอมบ้านเราอะ
หลังจากมาที่นี่ก็เริ่มรู้สึก" อิน "กับประเทศเนปาลขึ้นมาหน่อยละ
แบบว่า เออนี่แม่งวิถีชีวิตเขาอยู่ตรงนี้แล้วนะเว้ย ไรงี้
ก็เริ่มเงียบ เริ่มสัมผัสความเป็นไปของคนที่นี่ว่าเขาคิดอะไร
มีชีวิตยังไง จบชีวิตในรูปแบบยังไง
แต่พอออกมาจากวัดนี้ได้พักนึง 
แม่งเริ่มหายอินละ แต่บางอย่างผิดปกติ นั่นคือ
รถที่พวกเรามันหายไปไหนวะ เห้ย มันชิ่งเปล่า
คนขับรถหายไปด้วย ก็เลยเดินไปที่ประชาสัมพันธ์
ไปบอกว่ารถหาย หาคนขับรถไม่เจอ ทำยังไงดีอะ
เขาเลยขอเบอติดต่อทางบริษัท แล้วเขาจะโทรถามให้
..เอาจริงพอรู้ว่ามีปัญหานี่ คนเนปาลกรูเข้ามาหา มาช่วยเราเลยนะ
โครตประทับใจเลย เขาไม่ทิ้งนะ ยังไงจะช่วยตามให้ได้
ผ่านไปสักพัก คนปลายสายก็บอกว่าจะโทรตามคนขับให้นะ
สรุปคือ ไปหม้อสาวมา (สาสสส) 55555
พวกผมก็ล๊กเลย ผมนี่ยิ่งล๊กเพราะเป็นคนนำให้เพื่อนๆมาทัวร์ทริปเมืองเอง
เกือบพาซวย
.........................................
ต่อมาก็เดินทางไปยังสถานที่ต่อไป คือ
เรียกสั้นๆว่า วัดลิง ที่ลิงไม่ค่อยจะมีเลยอะ
จริงๆแล้วมีชื่อว่า วัดสวะยัมภูนาถ เป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่บนเขาสูงจากพื้นราบ 77เมตร
การเดินทางก็นั่งรถมาพักใหญ่พอสมควรถ้านับจากวัดปศุปฏินาศ (1ชมได้มั้ง)
จริงๆมันไม่ไกลเลยนะ แต่ด้วยการจราจรและถนนที่โครตวุ่นวาย
ผู้คนขวักไขว่ รวมถึงวัวก็ขวักไขว่ เลยต้องหลบกันไปมา สนุกดี
สถานที่แห่งนี้จะสามารถมองเห็นเมืองกาฐมาณฑุได้แบบประมาณ 200 องศา
ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้มีความน่ามองเท่าไหร่ ตอนที่ผมไปอะนะ เพราะฟ้าปิด
มองไม่เห็นเทือกเขาอะไรทั้งนั้น ก็โชคไม่ดีไปอะนะ
แต่สำหรับภาพวิวเมือง หายไปไหนแล้วไม่รู้ ขอโทษนะครับ
ริมทางข้างบนก็จะมีเจดีย์ดวงตาเห็นธรรมขนาดน้อยๆเรียงรายไปเรื่อย
แอบถ่ายตอนเขากำลังลงสี แต่พักนึงก็หันมามองแล้วทำหน้าแบบ "นี่คุณถ่ายฉันใช่มะ" นั่นแหละ เดินหนีก่อนเดี๋ยวเสียตังค์
โครตสวยเลยบอกตรงๆมุมนี้ และก่อนกลับเมืองไทยก็ซื้อมาภาพนึงนะ แต่ซื้อจากร้านย่านทาเมล
(แถม) สภาพการจราจรในตัวเมือง วุ่นวายมาก แต่ก็ไม่เบื่อนะ สนุกกับการนั่งรถมาก ..แต่พอไปถึงเส้นทางวันไปเทรคนั่นละ..
ตูดวัว (แถมอีก) จะเห็นงี้ตลอด และรถก็ต้องแหกหลบตลอด
โอเคจบไปสำหรับที่แห่งนี้ มาต่ออีกที่สักทีเป็นที่สุดท้ายของวันนี้ละ
ซึ่งเป็นอีกสถานที่ที่มีความสวยงามมากๆ และเป็นมรดกโลกเลยหละ
แต่ก็ต้องมาโดนพิษแผ่นดินไหวหนักหนาเหมือนกัน
เพราะเป็นเมืองโบราณแบบสร้างจากอิฐหมด ดูง่าย และเปราะบาง
จิตรกรรมตกแต่งตามหลืบมุมก็ละเอียดยิบ แต่ก็เสียหายไปมากมาย
สมัยก่อนกษัตริย์ของเนปาล ได้สร้างเมืองต่างๆขึ้นมาหลายเมืองมากๆ
เพื่อแบ่งๆให้ลูกของเขาปกครองกันเอง แต่ละเมืองจึงมีความสวยงาม
ที่สร้างมาเพื่อแข่งกันโดยเฉพาะ
ละนั่นคือ เมืองภัคตะปูร์ ซึ่งห่างจากเมืองกาฐมาณฑุประมาณ20กิโลเนปาล
คือดูไกล รถติด วัวเยอะ ไม่เหมือน20กิโลเมตรไทยเลยอะ
เมืองภัคตะปูร์ เป็นเมืองที่จริงๆสวยงามกว่าในภาพนะ และเคยสวยงามกว่านี้ แต่เพราะแผ่นดินไหวนั่นหละ
อาคารนี้สามารถเขาไปเยี่ยมชมได้ แต่เสียเงินเพิ่ม และนี่ก็เกินงบมามากแล้วยังไม่ทันขึ้นเขาเลย ขอบายครับ
ตึกรามบ้านช่องแถวๆที่จอดรถของเรา ด้านบนเป็นที่นั่งชิล ร้านเบียร์นั่นหละ
มาถึงจุดนี้เริ่มเหนื่อยละหละ ถ่ายรูปเดินเล่น ซื้อของกินกันก็อยากจะกลับที่พักละ
แต่พอจะมาขึ้นรถ ก็เหมือนเดิม คือ ..คนขับรถไปหม้อสาวอีกแล้วว
โอเค เรื่องของเอ็งแต่ไม่มาหม้อแถวรถวะ กว่าจะเจอนี่ นั่งเหงาาา
รอคอยกันไป ง่วงก็ง่วง สุดท้ายก็วิ่งมาแบบยิ้มๆ (เออ ชีวิตมึงนี่ดีวะ)
โอเค ก็ออกรถ เดินทางกลับไปทีพัก เดี่ยวพรุ่งนี้มีเที่ยวต่ออีก2-3ที่ ในเมืองนี่แหละ
และออกแต่เช้าเพราะต้องนั่งรถไปขึ้นเขา ตื่นกันแต่ตี4อะ ถ้าจำไม่ผิด (ลืมจด)
ผู้คนเริ่มคึกคักเพราะได้เวลากลับบ้านกันพอดี ระหว่างทางก็หลับไปบ้าง แต่ผมไม่หลับนะ ดูอะไรไปเรื่อย เพลินดี
แถมจ๊ะ ถ่ายระหว่างตามหาคนขับรถที่กำลังไปแอ่วสาว(อีกแล้วนะมึง)อยู่
แถวที่ตึกรามบ้านช่องสวยๆก็ถ่ายๆกันไป บันทึกไว้ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ชอบตรงหัวเสา ตรงที่มันดูจ้องเรา หลอนๆดี
ร้านนี้เป็นร้านที่เรากินกันทั้งมื้อเที่ยง และมื้อเย็นหลังจากกลับมาจากทัวร์รอบเมือง อร่อยมากอะ ถ้าไปอีกก็จำที่ตั้งได้
แต่มี3คนโดนพิษจากอาหารพื้นเมืองตั้งแต่วันนี้เลย กลับมานั่งกินยากันใหญ่

Chapter 06

มาถึงเช้าวันที่ 3 ที่เนปาล แต่เป็นวันเที่ยวรอบเมืองวันที่ 2
เราตื่นกันแต่เช้า ตี4ก็ลุกแล้ว เพื่อขึ้นรถไปที่หมู่บ้าน Nagarkot
เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นแค่นั้นแหละ การเดินทางค่อนข้างไกล
เรามุ่งลงทางใต้ของเมืองกาฐมาณฑุ โดยพี่วินดีเซลผู้แอ่วสาวคนเดิม
และทางบนเขาแห่งนี้ ก็ทำให้รู้ว่าพี่วินแกมีสกิลขับรถเทพแค่ไหน
แบบว่าในเมืองนี่ขี้ๆไปเลย เมื่อมาถึงจุดๆนี้ ซึ่งผมนั่งหน้า
และเพลงบนรถก็มันส์เหลือเกิน เพราะน้องคนนึงมันชอบฟังเมทัลมาก
พอเปิดเท่านั้นหละ จังหวะการตกหลุมตกบ่อของรถ แม่งเข้ากับเพลงมาก
แต่แล้วก็มาถึงเพลงของ Greasy Cafe แม่งเศร้าอีกละ
หมดมูดความมันส์ไปทันที จริงๆถ่ายวีโอไว้นะ มันตื่นเต้นดี 555
โอเค ไปกันต่อดีกว่า
ภาพตอนเช้ามืดระหว่างทางบนเขาที่แบบว่ารถสวนทางกันนี่ มีเสียวจะตกโลกมากๆ
ด้านบนของที่นี่จะมีหอให้ขึ้นด้วย 
พระอาทิตย์เริ่มขยับขึ้นมาละ แต่ว่าฟ้าค่อนข้างปิดเลยไม่สวยมากเท่าไหร่ ถ้าไปก็ขอให้โชคดีกว่าพวกเรานะ
เทือกเขานั้นเป็นเทือกเขาอนันปุรณะอันดับที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ แต่ไม่ใช่อนันปุรณะอันดับที่เราจะไป
ภูเขาที่เราจะไปมองไม่เห็นจากจุดนี้ เพราะโดนบังหมด ปล.อนันปุรณะมีอันดับ 1-4
คิดว่ามันสวยดีเฉยๆ ติดมาให้ดูหน่อยละกัน
พอดูพระอาทิตย์จนมันหมดสวยแล้ว ก็เดินลงมาหากาแฟกิน โดยผสมนมควายที่จะออกมันๆหน่อย 
ถ้าท้องใครอ่อนระวังนมควายไว้ให้ดี
ทางขึ้นไปดูอยู่ทางขวามือ ไม่สูงมากแปบๆถึงยอดเลย 15 เมตรได้มั้งจากร้านกาแฟ
ถึงทางลงเขาละ จะเป็นอีกเส้นทางที่ดีกว่าทางทีใช้ขึ้น ซึ่งเราเลือกทางนี้เพราะอยากดูวิถีชีวิตชาวบ้าน





พอเริ่มมาถึงตีนเขาก็เริ่มมีการค้าขายมากขึ้น ร้านค้าบ้านเรือนดูดีขึ้นมาหน่อย
เขตนี้ได้รับผลจากแผ่นดินไหวเช่นกัน แต่ยังไมได้มาซ่อมบูรณะให้สมบูรณ์ ก็เลยเอาไม้ค้ำไว้แบบนั้นก่อน
มาถึงจุดนี้ เราก็จอดรถเดินหาที่กินที่เข้าห้องน้ำกันแค่นั้นเอง
ระหว่างทางก็มีปัญหาเล็กน้อย ก็แค่แบบไปเจอรถนักเรียนส่วนทางมา
แล้วเป็นการไม่ยอมกันที่จะถอย เพราะต่างคนต่างมาถึงครึ่งทางแล้ว
ก็สุดท้ายเราถอยครับ เพราะเรารถเล็ก คนก็น้อยกว่า 5555
ก็ถอยกันไปกลางทุ่งนานั่นละ รถเกือบตกนาด้วย โครตเสียวจริง รถเอียงแล้วว 
ขากลับมาแวะถ่ายก้นตำรวจเล่น คือไม่มีไรทำแล้วอะ ตังค์ไม่พอ ขับผ่านที่เที่ยวตั้งสองที่แหนะ
โอเค แล้วเราก็กลับไปนอนกันที่โรงแรมพร้อมทั้ง รอเจอเพื่อนอีกคนที่จะบินมาถึงบ่ายวันนี้
ก็จัดข้าวจัดของ เตรียมตัวย้ายถิ่นไปสู่ดินแดนแห่งการเดินเขา
นั่นคือเมือง โพคลา ซึ่งต้องนั่งรถบัสแต่เช้าไปทางตะวันตก ประมาณ6-7ชม.
นั่งกันเมื่อยก้นอะ เมารถด้วยสำคัญ และบางคนก็อาหารเป็นพิษ เอาหละ เดี๋ยวมาเล่าใหม่วันหน้า
ตอนนี้ ฉากเมืองที่ไม่ได้คิดจะเที่ยวกันตั้งแต่แรกก็จบไปแล้ว 
จะมาถึงฉากสำคัญยาวๆ ของดินแดนหิมาลัยกันแล้วหละ

ใน Ananpurna Base Camp ,Nepal ตอนที่ 02

.........ขอบคุณที่แวะเข้ามาครับผม........
แล้วจะมาแนะนำตัวละครคร่าวๆตอนหน้านะครับ แต่คงไม่ให้เห็นหน้าเห็นตาเนาะ
Keep Going

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น