วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Postcard from : วังเวียง หลวงพระบาง , ลาว - 01

" LAOS "

ยอมรับความจริงว่า กว่าจะได้เริ่มเขียนเรื่องการไปเที่ยวลาวทริปนี้
ก็กินเวลามา1ปีกับอีกไม่กี่วันพอดี (จากการแจ้งเตือนของเฟสบุ๊ค)
ผมจำไม่ค่อยได้ว่า ทริปนี้เริ่มต้นกันยังไง อะไรคือแรงบันดาลใจให้ไปที่ลาว
แต่ที่จำได้ลางๆ มันน่าจะเกิดจากเพื่อนผมคนเดียวคนเดิม ที่ผมชวนมันไปเนปาล
( ทริปลาวนี้เกิดขึ้นก่อนทริปเนปาลนะ )

มันคงเป็นวันหนึ่งที่ตะวันทักเฟสมาในกลุ่มแชทของพวกผม
ซึ่งมีกัน 4 ชีวิตในตอนนั้น แต่ก็เพิ่มเป็น 5 ชีวิตในตอนนี้

และก่อนจะเขียนต่อ ขอบอกว่าภาษาที่ใช้ อาจไม่ลื่นหูนัก เพื่อให้ตรงกับบริบทของทริป

ในวันนั้นตะวันเริ่มสร้างสถานการณ์เกี่ยวกับเมืองวังเวียงขึ้นมา
ซึ่งประมาณว่า "เห้ย มันโอเคนะเว้ย แดกเบียร์ริมแม่น้ำงี้ เมืองแม่งอย่างชิววว "
พร้อมกับภาพเมืองวังเวียง มีแม่น้ำซองไหลผ่าน พร้อมแพริมน้ำ ในช่วงพระอาทิตย์ตก
 ที่แม่งไม่รู้มันไปหามาจากไหน แต่ผมก็ให้ผ่าน ... คำว่าผ่าน คือ "เออ กุไปด้วย.."
เพราะจริงๆแล้วผมก็รู้มาก่อนหน้านี้บ้างละว่า วังเวียง มีสไตล์แนวๆไหน
จากการที่มีผู้คนนับร้อยตามเพจต่างๆ พากันลงภาพวังเวียงเป็นร้อยๆภาพ
รวมทั้งข้อมูลมากมายที่ช่วยให้การเดินทางง่ายแสนง่าย

แต่ติดตรงที่ว่า ผมไม่ชอบอ่านข้อมูลพวกนั้นหวะ ดูแต่รูปผ่านๆบ้าง
..
วังเวียงก็ประมาณนั้นแหละ
ในตอนนั้นรู้แค่ มันคือเมืองวังเวียงที่มีแม่น้ำซองและคนแดกเบียร์กันกลางน้ำ
ตามที่ตะวันบอกเล่ามา ผนวกกับภาพที่ลองไปเสิร์ชดู

การที่ตอบไปว่า "กุไปด้วย" แต่แล้วไปไหนมั่งอะ กี่วัน งบเท่าไหร่ มีที่พักยัง ไปยังไง
......
คำถามพวกนั้นคือสิ่งที่ผมไม่ได้คิด และก็ไม่ได้ถามก่อนจะตอบตกลงซะด้วยซ้ำ
เพราะคิดว่า เออ กูไม่ใช่คนชวน ไม่ต้องไปคิดไรมาก ทำตัวเป็นเห็บเกาะหมาพอ
สถานะของผมคือ "ความสบายยยยยยยยยยยยย" คือสิ่งที่ผมควรจะได้รับ

แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก 
ความเงียบของทริปนี้เริ่มก่อตัวหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ
ไม่มีการพูดถึงแผน ไม่มีการคุยถึงสถานที่เที่ยว ไม่มีการพูดถึงงบ และเหี้ยไรทั้งนั้นน

จนทำให้ผมคิดว่า มันจะชิวกันเกินไปปะวะ
เลยลองทักถามถึงเรื่องพวกนี้กับตะวันดูหน่อย เผื่อจะมีอะไรคืบหน้าแต่ผมอาจไม่รู้เท่านั้นเอง
"ตะวันทริปนี้ใครไปบ้าง"
"ตะวันไปไหนบ้าง"
"ตะวันนอนไหนกัน ให้กูหาที่พักให้มั้ย"
.....
คำตอบที่จำได้ลางๆและพอจะสรุปได้คือ 
"ยังไม่ชัวร์" คือ ใครจะไปบ้าง หรือใครจะเทบ้าง จะมีตัวหารกี่คน อันนี้ก็ไม่รู้
"มึงไปหาที่เที่ยวมาหน่อยสิ" คือการตอบกลับมาว่า ให้ผมหาที่เที่ยวให้ ทั้งที่แม่งชวน
"ไปเดินหาเอาที่นู่น" คือไม่ต้องจอง ไม่มีที่พักก็ช่างแม่ง นอนร้านเหล้า จบ

...ส่วนคำถามเดียวที่พอจะช่วยให้คนไม่รู้เหี้ยไรเลยอย่างผมได้พอเตรียมตัวได้บ้างก็คือ
..งบประมาณ..
งบที่มีการคอนเฟิร์มกันอย่างมั่นใจว่า "ห้าพันบาท" ก็พอ (ใครไม่รู้บอกว่าอ่านมาจากพันทิพ)
โอเค อย่างน้อยผมก็ได้คำตอบสักเรื่อง จาก3-4คำถามที่ยิงไปแล้วแม่งไม่ได้อะไรกลับมาเลย

อย่างแรกที่ผทต้องทำคือ กุต้องหาที่เที่ยวทั้งหมดสินะ
บอกตรงๆว่าไม่ได้อินกับวังเวียงเท่าไหร่ ไม่ได้อยากรู้อะไรมากมายขนาดนั้น
แค่อยากจะบอกว่า พาไปไหนกูก็ไปได้หมด มึงพาไปได้เลยยย

แต่

อื้ม ..สุดท้ายกูต้องมานั่งวางแผน ถามอากู๋ว่าไอ้วังเวียง มันมีอะไรให้ไปบ้าง
แล้วที่พักมีที่ไหนน่าสนใจ ราคาถูกๆบ้าง ไปยังไงบ้าง
รวมไปถึงการเช่าเรือหรือการเช่าห่วงยางล่องแม่น้ำซอง แม่งราคาเท่าไหร่
เพื่อที่จะได้มาคำนวณตังค์ในกระเป๋าได้บ้าง เพราะไม่ค่อยเชื่อข้อมูลลอยๆ
และเป็นกุที่ต้องมาคิดโปรแกรมให้หมดตลอดทั้งทริป ...สินะ
...
ถามจริงๆ ถึงตอนนี้ ใครชวนใครกันแน่วะ มึงตอบกูมาให้ชื่นใจ
...

CHAPTER 01


ผมจำได้ว่า ช่วงนั้นผมกำลังคุมงานก่อสร้างอยู่ที่จังหวัดเลย
ซึ่งมันก็กำลังไปได้โอเคถึงจะไม่โอเคมากมาย แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรให้กังวล
( ซึ่งก่อนหน้านี้ผมกำลังจะได้ไปเวียดนาม แต่ก็สละยานทิ้งตั๋วไปเพราะงานนี้แหละ )
แพลนการเที่ยวครั้งนี้กินเวลาประมาณ 6 วัน รวมไป-กลับ ซึ่งโอเคไม่ยาวมากจนเกินไป
และในแพลนมีแค่เมืองวังเวียงเท่านั้นที่จะไปเที่ยว
แต่ก็มีคำถามส่วนตัวขึ้นมาข้อใหญ่ๆว่า
กูจะไปทำอะไรทีวังเวียงตั้ง 4-5 วันวะ มันมีอะไรให้ทำขนาดนั้นเลยหรอ

ซึ่งจริงๆตอนนั้นผมคิดเชี่ยไรไม่ออกไง เลยเขียนแพลนไปแม่งว่า "นอนพักผ่อน" 

เออ นั่นหละ ไม่รู้ไงว่าจะทำอะไร ตะวันแม่งก็บอกอยางเดียวจัดมาเลย 
ยังไม่รวมเพื่อนอีก 2 คน ที่เงียบกริบ ไม่มีข้อมูลอะไรให้กูทั้งนั้น
และยังไม่รวมพวกที่เทไม่ยอมมาอีก 2 คน 

ทำให้ตอนแรกคิดว่าจะเหลือกันแค่3คนซะแล้ว ดีที่ยังมี "ติ๋ม" เพิ่มขึ้นมา
หนุ่มหน้าตาตี๋ๆ ตัวเล็กๆ หน้าใสๆ พูดจาเมาๆ
ซึ่งเป็นเพื่อนมหาลัยอีกคน แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเกรียนของพวกผมหรอก
ไม่รู้ช่วงหลังไมค์ตะวันไปลากมาได้ยังไงเหมือนกัน
แต่ก็ดีกว่าการไปเที่ยวแค่3คน แม่งคงกร่อยมากแน่ๆ
ซึ่งตอนนี้สมาชิกก็ประกอบไปด้วยตะวัน นภ เบ๊น และ ...ติ๋ม
ทำให้ทริปนี้ มียอดรวมเป็นหนุ่มบ้านๆ4คน

..ขอบคุณตะวัน ครั้งที่ 1..

หลังจากได้จำนวนสมาชิกเป็นที่แน่นอนแล้ว
ก็เริ่มการนัดวันเดินทางว่าจะมาเจอกันที่ไหนยังไง

ตอนนั้นพวกเราเลือกการเดินทางโดย รถบัสจากกทม.มาลงที่อุดรธานีในตอนเช้า
ก่อนที่จะพากันต่อรถไปที่เวียงจันทร์ และมุ่งตรงไปยังวังเวียงในทันที
ซึ่งผมไม่มีคำถามอะไรทั้งนั้นสำหรับเรื่องรถบัส เพราะตะวันมีข้อมูลมาพร้อมหมดแล้ว
..ขอบคุณตะวัน ครั้งที่ 2..


เรามาถึงอุดรธานีในเช้ามืดวันถัดมา หลังจากไปมึนๆหาจุดขึ้นรถอยู่ที่บขส.นครชัยแอร์
เพราะว่ารอบรถของเรามันไม่มีการโชว์ขึ้นจอว่าจะมาถึงกี่ทุ่ม
มันจึงทำให้เราค่อนข้างกระวนกระวายว่าจะตกรถกัน
ถึงจะไปถามเจ้าหน้าที่ของนครชัยแอร์ ก็ได้คำตอบมาแค่ว่า ..ให้ไปนั่งรออยู่ตรงจุดนั้น
ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมสักอย่าง แต่โอเค ยังไงกูขอบใจมาก

พอพวกผมมาถึงบขส.อุดรก็ต้องมานั่งรอเคาท์เตอร์ขายตั๋วไปเวียงจันทร์อีกเป็นชั่วโมง
ระหว่างรอก็เดินไปเดินมา ชาร์ตโทรศัพท์ นั่งหลับ เดินไปเซเว่น
ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ หรือจะไปคุยกับพระเมาๆที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นก็ได้
ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครไปคุยใช่มะ .... แต่มี!!
ติ๋ม หนุ่มตี๋ตัวเล็ก อยู่ดีๆก็ได้ไปเป็นคู่สนทนากับพระรูปนั้นซะแล้ว
....

ผมนั่งมองมันอยู่พักนึง ด้วยความสงสัยที่ว่า แม่งคุยอะไรกันวะ นานมาก หรือเสือกถูกคอ?
แต่ผมสามารถจับสีหน้าของติ๋มได้ประมาณว่า
หลวงพ่อปล่อยให้ผมอยู่เงียบๆคนเดียวเถอะนะ ไม่ไหวแล้วอะ

แต่ผมก็ทำได้แค่ เรื่องของมึงแล้วติ๋ม มึงเอาตัวรอดเอาเองนะ กุขอมีชีวิตแบบสงบๆละกัน

หลังจากผ่านช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อไปกว่าชั่วโมง
ไอ้ช่องจำหน่ายตั๋วไปวังเวียงก็เปิดสักที และหลังจากนั้นก็ต้องรอรถต่ออีกพักใหญ่..เหมือนเดิม
...แม่งมีแต่รอจริงๆ ไม่มีอะไรเล๊ยย...


CHAPTER 02

หลังจากเราขึ้นรถมาแต่เช้า ..หรือสายนิดๆ
ก็ไม่มีอะไรมาก รถก็พาเราผ่านเมืองเวียงจันทร์ และยิงยาวไปยังวังเวียง
ความรู้สึกตอนนั้นคือ เพลียและเอาแต่หลับตามสไตล์คนไม่ชอบนั่งรถตอนกลางวัน
ระหว่างทางก็มีบ้านเรือนเก่าๆ แผ่นดินแล้งๆให้ดู
ส่วนถนนก็เป็นลูกรังตั้งแต่รถแล่นออกจากเขตเมืองเวียงจันทร์
ฝุ่นนี่คละคลุ้งไปทั่ว ตามเส้นทางที่รถวิ่ง

จน"ไอ้เบ๊น"เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า บางทีก็น่าเปิดบริการล้างรถที่ลาวนะ
ทั้งล้างและเคลือบแก้วรถไปด้วย
... อื้ม ก็โอเคนะ คงมาล้างกันทุกวันจนตังค์แม่งหมดบ้านเลยหละ
หรือไม่ก็ขี้เกียจล้างไปก่อน เพราะฝุ่นแม่งเยอะชิบหาย

ไม่รู้ว่าคนลาวจะมีตังค์เยอะแค่ไหนสำหรับไว้ดูแลเรื่องรถ
แต่จะว่าไป รถที่ลาวถูกมากๆเมื่อเทียบกับราคารถของไทย
เพราะการเก็บภาษีนำเข้ารถ โดยเฉพาะรถเกาหลีโครตจะต่ำมากๆ
อย่างคันละล้านที่บ้านเรา ที่ลาวก็ประมาณ หกแสนหรือต่ำกว่านั่น

...แม่งน่าข้ามไปขโมยรถที่ลาวมาขายวะ...

ติ๋ม และ ตะวัน จ้า
เชี่ยเบ๊น ผู้คิดเรื่องการล้างรถ ..เริ่มทริปแม่งยังอายกล้องอยู่
ระหว่างนั่งรถ ผมก็จำอะไรไม่ได้มากนักเพราะอย่างที่บอก
ดองทริปนี้ไว้ปีนึงเต็มๆกว่าจะได้เอามาเขียนเล่าเล่นๆ

หลังจากนั่งรถมาแต่เช้าจากฝั่งไทยข้ามมาถึงเวียงจันทร์ทางหนองคาย
และแล้วพวกผมก็มาถึงเขตเมืองวังเวียงสักที
ล่อไปเกือบ 5โมงเย็น และเราก็ลงรถมาด้วยอาการงงๆเล็กน้อยว่ายังไงต่อ
เพราะตอนนี้ อยู่อีกฝากหนึ่งของเมือง คั่นด้วยสนามบินที่มีแต่ร้านค้าและรถมาจอด
ประมาณว่าเป็นลานบินที่ไม่มีเครื่องบินลงนั่นแหละ

แต่ก็นึกอะไรไม่ออกว่าจะยังไงบวกกับปวดฉี่ ก็ขอไปหาที่ฉี่แถวนั้นก่อนละกันพวกกู
ซึ่งการไปฉี่แม่งก็เหมือนอวัยวะติดกัน คือ แม่งต้องเดินไปหาห้องน้ำด้วยกันทั้งหมด
....

แล้วใครดูรถละวะ

.....

อืม นั่นละ พอเดินออกมาสรุปรถที่วิ่งเข้าเมืองวังเวียงแม่งไปหมดละ ชิบหาย
ไอ่สัสส แล้วพวกกูอะ
ยืนงง มองหน้ากันตามภาษาควายมาเที่ยว

เดินมั้ยอะมึง . . คำถามโง่ๆจากผมเองมั้ง แม่งจะบู๊ไปไหนพ่อคุณ
แต่พอยืนงงๆกันอยู่สักพัก ก็เหมือนมีข่าวมาจากไหนสักที่ว่า
รถอีกคันกำลังจะมารับ รอไปก่อน
อื้ม ก็ไม่รู้อะ รอก็รอ กูทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนี่ หึ

..ถามจริงมาเที่ยวนี่ รู้อะไรบ้าง..

เริ่มเข้าเขตเมืองวังเวียง สังเกตจากเขารูปทรงสูงๆแบบนี้
หลังจากรอรถสองแถวเข้าเมืองไปเกือบ20นาที แม่งก็มาถึงจนได้

โอเค มีหนทางไปต่อได้สักทีนะ

เวลาตอนนี้แม่งคือพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าละ
แดดเริ่มออกแนวๆจะทิ้งพวกกูไปอย่างรวดเร็ว
อากาศก็เย็นๆ ชวนให้รู้สึกถึงความอ้างว้างกับชีวิต

ชีวิตที่ไม่มีที่พัก และแดดก็กำลังจะหมด
พวกผมลงจากรถและเริ่มคาดเดาเส้นทางที่จะไปหาแหล่งที่มีที่พัก
ใครๆก็ว่าที่พักเยอะแยะ เดี๋ยวก็เจอไม่ยากหรอกแสส (ใครพูดนะ ตอบที)

แต่มึงถามราคารึยังว่าแม่งกี่บาท พ่อองงงงตายย
ที่แรกที่ไปด้อมๆมองๆ คืนละเป็นพันๆ มีแต่แพงๆ คนละหกร้อยงี้ เห็นกุรวยนักสิ หึหึ ..หึ

บอกเลยกรุ๊ปนี้ขอคืนละสามร้อยต่อคนเท่านั้นแหละ ร้อยนึงก็ได้ถ้ามีบุญ ไม่อยากจะอวด

............

การเดินหาที่พัก เดินไปอย่างหนืดๆ และสุดท้ายก็ต้องย้อนกลับทางเดิม

และเหมือนมีที่นึง สะดุุดตาตั้งแต่แรกละหละ
แต่จำไม่ได้ว่า ทำไมไม่เข้าไปถามราคา ...นึกไม่ออกจริงๆ
หรืออาจเพราะตอนแรกไม่มีคนอยู่หน้าเคาท์เตอร์มั้ง

ที่พักที่เราย้อนกลับมาถาม เป็นความหวังสุดท้ายละ
คือ ยังไงกูก็ต้องสู้ราคาเพื่อให้ได้นอน และเก็บของสักทีิอะ
เพลียชิบหายนะจุดๆนี้

ที่พักตรงนี้จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร มีแต่ภาพถ่าย
และอีกอย่าง คนไทยเป็นคนดูแลกิจการเว้ย
พี่ผู้ชายกับพี่ผู้หญิงเป็นคนไทยทั้งคู่ เออ ถ้าจำไม่ผิดนะ
หรือพี่ผู้ชายหนีมามีแฟนเป็นคนลาววะ ... แม่งไม่น่าใช่ พี่เขาน่าจะมีพล็อตชีวิตง่ายๆกว่านั้น

ตอนนี้อาศัยลูกความจำอย่างเดียว
ชื่อพี่เขาก็ยังจำไม่ได้ โทษที


สังเกตเป้ไอ้เบ๊น ดูพะลุงพะลังเซอๆใช่มะ ไม่อะไรหรอก แม่งเป๋าซิบแตกทุกส่วน เลยเอาเสื้อมัดไว้
และเป๋ก็ไม่ใช่ของใครที่ไหน เป็นซากอารยธรรมเป้จากตะวัน ขากลับแทบโยนทิ้งไว้เวียงจันทร์
ชื่ออะไร ใครจำได้ใครรู้ เออ นั่นละ ชิวๆ พี่ๆก็ใจดี มาพักได้ ราคาคนแบบพวกผมก็นอนได้อะ
...คนแบบที่ไม่มีเหี้ยไรเลยยย..

หลังจากที่ได้ที่พักแล้ว ก็ขึ้นไปเดินหาของกินเพราะนี่ก็จะทุ่มนึงแล้วหละ
ได้ที่พักแบบทุลักทุเล ตอนนี้หิวโซ ยิ่งผมนี่หิวแบบไม่เก็บอาการ
เจอส้นตีนไรก็อยากเข้าไปควักตังค์ซื้อหมด

เชี่ย ก็คนมันไม่ชอบทนหิวนี่หว่า

แต่ในหัวผมอะ ดูรีวิวมาละ มันมีร้านนึงเป็นร้านจิ้มจุ่ม
หามาจากตามเน็ตนั่นละ ไม่ยาก
ระหว่างทางก็เดินไป หลงนิดๆหน่อยๆ ถามทางเขาไป
ถึงแม้จะถามจากพี่ผู้ชายที่โรงแรมแล้ว ก็ยังเสือกลืมและงงในเส้นทาง

และระหว่างทางก็ยังเจอโฮสเทลอีก
ราคาโคตถูก ตะวันบอกรู้งี้น่ามาเจอก่อน ได้คุยกับคนต่างชาติด้วย
ส่วนผมหรอ ขอแค่ถูกก็พอ คุยไม่คุยอีกเรื่อง
มีคนเคยบอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยว
เป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อถือไม่ได้ และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

แต่เอาจริงๆลึกๆผมไม่แคร์นะ การคุยดีจะตายไป ได้รู้เรื่องราวของเขา
สนุกดีออก แต่ตอนนั้นขอกินและงีบก่อนได้มั้ยหละ

และในที่สุดก็เดินมาเจอร้านจิ้มจุ่มในโปรแกรมสักที
...สำหรับเรื่องกินนี่ต้องมีเป้าหมาย มาเดินลอยๆหลงทางแบบหาโรงแรม คงจะรับไม่ได้อะ..


ผมไปถามทางหาร้านจิ้มจุ่มจนได้ แต่ก็ต้องแลกกับคำสัญญาว่าจะมาซื้อป้าแกกินในตอนขากลับ
...ซึ่งจริงๆไม่ต้องสัญญากูก็ซื้อ กูหิววว...

จำชื่อร้านไม่ได้ รสชาติอาหารโอเค แต่ไปหารีวิวเอาเองนะ มีเยอะมากหาง่าย
หลังจากกินกันไป พร้อมแดกเบียร์ลาวไปนิดหน่อย
จุดที่จะไปต่อในโปรแกรมจากผมคือ ซากุระบาร์ที่มีคนริวิวเยอะแยะมากมาย
แต่บอกไว้ก่อน ผมมันไม่ใช่สายอวยนะ ว่าไปตามจริง

แต่ก่อนจะไปท่องโลกียามค่ำคืน กลับไปตั้งหลักหาข้อมูลของวันพรุ่งนี้ก่อนดีมั้ย
คือ มึงจะไม่มีแพลนเลยก็ไม่ได้นะสาสสส วันต่อวันก็ยังดี แม่งง

อะเค กลับก็กลับ ..ไปหาข้อมูลจากพี่ผู้ชายก่อนดีกว่า ว่าพรุ่งนี้ไปไหน ยังไง ที่ไหน

พอกลับไปก็ตัดสินใจอาบน้ำอาบท่ากัน ใครจะขึ้นมาคุยอะไรก็คุย
ส่วนผมนั่งถ่ายรูปบวกกับรออาบน้ำแค่นั้น

ส่วนคนที่พยามหาข้อมูลหน่อยก็มีตะวัน ที่ไปคุยกับพี่ผู้ชายตรงเคาท์เตอร์
และยังได้พี่ๆคนไทยมาร่วมวงอีกตั้ง2กรุ๊ป

โอ้โห กุว่าทริปเราแม่งมากับดวงจริงๆก็คราวนี้แหละ
คุยไปคุยมา เจอคนไทย คุยไปคุยมา เชี่ย มีแพลนกับเขาขึ้นมาทันที

แถมคุยไปคุยมา ไอ้สัสสส มึงบอกว่าจะไปถึงหลวงพระบางแล้วว
เออ กูเห็นด้วย กูก็อยากไปไง แต่งบมึงอะ เตรียมมาแค่มานอนเล่นที่วังเวียงชิวๆ
แค่ 4-5 วัน นะโว้ยยยยยยย

แต่แล้วยังไงอะ ลาวก็มีตู้ ATM นิ กลัวไร๊ ?

จบ คืนนั้นโอเค แพลนพรุ่งนี้คืออยู่วังเวียง ค่ำมาขึ้นรถบัสไปหลวงพระบาง
...นอนแม่งบนรถนั่นละ ประหยัดค่าโรงแรม...

แต่คืนนี้ เราไปซากุระบาร์กับพี่ๆคนไทยดีกว่า อยากท่องโลกีดู



ซากุระบาร์เป็นสถานทีที่ฝรั่งกล้ามโตได้เปรียบวะ
ส่วนพวกกูไม่ได้เทียบชั้นกับแม่งเลย รู้สึกเหมือนเด็กน้อยม.3เจอรุ่นพี่มหาลัยเหยียบไว้จนไม่เกิด

จริงๆมึงยืนข้างกู กูก็ไม่เกิดกันละหละ ...ชิบหาย

โอเคไม่เป็นไร กุไปยืนแดกเหล้าฟรีแล้วนั่งคุยกับพี่คนไทยก็ได้วะ
แอบมองอิเกาหลี เต้นยั่วฝรั่งเหมือนกัน
ไม่ใช่ไร อิจฉาแม่งง กลับไปกุจะออกกำลังกาย รู้ไว้ด้วยยย

...จนป่านนี้หุ่นกูก็เท่าเดิม ขึ้นๆลงๆไม่มีความคงกระพันเลยวะ...

สำหรับเหล้าฟรีที่ลาว จริงๆไม่รู้ทำมาจากเหล้าขาวจริงเปล่า
เห็นน้าบางคนแถวบ้านบอก มันเอามาจากยาดองบางอย่าง
ซึ่งจริงๆก็เห็นเกลื่อนที่หลวงพระบาง มีทั้งงูดอง ตะขาบดอง แมงป่องดอง สารพัด..
แต่ไม่สน ก็อร่อยดี กินง่ายอ้วกคล่อง

การไปซากรุะบาร์ไม่ถึงกับสนุกอะไรมากมาย สำหรับผมนะ
ก็แค่สีสรรค์ในค่ำคืนนั้น ว่างก็แดกเหล้าฟรี
ไม่ว่างก็ไปคุยกับพี่คนไทย
และพอพี่คนไทยกลับไป แม่งกลายเป็นโครตว่างเลยหละ

ก็เลยตัดสินใจเดินไปพยักหน้างกๆท่ามกลางพวกฝรั่ง เกาหลี และชาติพันธุ์ต่างๆ
ดนตรีจากลำโพงแตกๆก็ลอยผ่านหูไปเรื่อย

..กุไม่สนุกเลยมึง..

ก็เลยเดินออกมาหลังร้านเพื่อนั่งตากลมเย็นๆ
และมองวัยรุ่นต่างชาติดมแก๊สลูกโป่งไปพลางๆ

เชี่ย.. แม่งดมจริงจังมาก
ดมไม่หยุด ไม่พัก และไม่รู้ตะวันไปเสือกรู้จักกะเขาได้ไง
แม่งเดินมาคุยที่โต๊ะที่ผมกำลังปลีกวิเวกเฉย

นี่นภ นี่เบ๊น นี่ติ๋ม (เออมึงชื่อติ๋มไปนั่นละในทริปนี้)
ตะวันแนะนำตัวพวผมให้สองวัยรุ่นเกาหลีที่กำลังเมาแก๊สได้รู้

แต่กุว่ามันไม่รู้ส้นตีนอะไรละหละ ณ จุดๆนี้
แม่งขำไม่พักเลย เหมือนเส้นแม่งค้างอะ
แต่เพื่อนอีกคนที่มากับมันก็ไม่ได้เมาอะไรมากนะ
เหมือนควบคุมตัวเองได้ ก็บอกว่าเพื่อนมันบ้าไปแล้ว

... เออ เห็นด้วย มึงพาเพื่อนมึงกลับดีๆละกัน ...
และตะวันก็คุยกับมันไปเรื่อยๆ ส่วนพวกผม3คน นั่งเงียบ
ทั้งเพลีย ทั้งอยากอ้วก และอยากนอน
ไม่สนใจอะไรแล้วหละ

สำหรับคืนนั้น ผมได้แต่เหล้าฟรี ซึ่งก็คือที่รู้สึกถูกใจที่สุด
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดน่าจะ กลับมาอ้วกแตกเอาเบอเกอร์ป้าออกมาหมดเลย

เสียดายวะ แม่งเป็นเบอเกอร์แห่งคำสัญญาระหว่างป้ากับผมเลยนะ
.....


สำหรับค่ำคืนแรกที่วังเวียงก็จบไป
พรุ่งนี้ก็ลุยต่อตามแพลนที่พึ่งได้มาหมาดๆ

แล้วจะมาต่อใหม่ ไม่รู้หลงลืมอะไรไปบ้างพยามนึกแล้วนะ

พี่ผู้ชายคนไทยกำลังอุ้มลูก
บายๆ เดี๋ยวมาเขียนใหม่อย่าเพิ่งร้องไห้นะ

keep going
www.facebook.com/nowhere.postcard

ฝากกดติดตามด้วยนะครับ จะขอบคุณมากๆเลย ฮือฮือ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Postcard from : Ananpurna Base Camp ,Nepal 03

เมื่อเชฟเดินมาถามรสชาติของอาหาร ถ้าให้เราตอบความจริงคงเสียใจน่าดู

 Chapter 01

"ตำไทย สัญชาติเนปาล"
ว่าด้วยร้านอาหารหลายหลายชาติใจกลางโพคลา
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มันจะมีรสชาติที่ดีกว่าร้านอาหารต่างชาติในกาฐมาณฑุ
ก็เลยเริ่มตะเวณหากินกันอีก ซึ่งก็เดินหากันนานมากๆจนหิวโซ
และแล้วก็เดินมาถึงร้านหนึ่ง ดูค่อนข้างดีทีเดียว
ก็เลยเปิดๆเมนูเพื่อเช็คราคาและรายการอาหารอยู่หน้าร้าน
และผมกับเพื่อนในทริปอีกคนก็ไปเจอกับรายการที่เขียนว่า "SOM TAM THAI"
ตาวาวกันทีเดียวในตอนนั้น ตื่นเต้นกับชื่อนี้มากกกกก
เพราะลึกๆทุกคนอยากกินอาหารไทยกันทั้งนั้น ไม่ใช่สั่งแต่ปีกไก่
แล้วจินตนาการเอาว่าเป็นไก่ย่างวิเชียรบุรีอยู่แบบนี้
และท้ายที่สุดก็เลยเดินไปกวักมือเรียกเพื่อนคนอื่นๆที่กำลังหิวโซ
"เห้ย เจอส้มตำวะ ลองมั้ยๆ 555555555555"
.
ทุกคนกรูกันเข้ามาพร้อมกับดูเมนูอื่นๆที่ปลอดภัยกว่านี้หน่อย
เพราะจริงๆแล้ว ลึกๆเราก็เข็ดกับอาหารญี่ปุ่นในเนปาลมาพอสมควร
.
เมนูที่ผมสั่งมาทานเองส่วนตัว ในมื้อนี้ผมขอเลือกผัดไท
ปล่อยให้ส้มตำเป็นอาหารส่วนกลางของมื้อนี้ไปนั่นละ
และตะวันสั่งต้มยำอะไรสักอย่างมากินกับข้าวเปล่า (ถ้าจำไม้ผิดนะ)
.
หลังจากรอไปนานพอสมควรอาหารก็มาเสิร์ฟจนได้ โครตหิวจริงๆ
ซึ่งผมจะบอกเพิ่มเติมว่า ร้านอาหารเนปาลเหมือนทำแล้วดองไว้ในครัว
เพียงเพื่อจะนำมาเสิร์ฟพร้อมกันทีเดียว ..เป็นแบบนี้แทบทุกร้าน
สงสัยคงอยากให้กินพร้อมๆกัน จะได้ช่วยให้อร่อยขึ้นมั้ง
..แต่ช่วยได้ตรงไหน..
.
อาหารที่ต้องคอมเมนท์หน่อยคงเป็น ส้มตำ และผัดไท(ของผม)
เริ่มจากส้มตำ ซึ่งคงเห็นจากภาพแล้วว่า แม่งใช้มะละกอสุกมาหั่นๆทำ
ขอถามหน่อยว่า ใครเขาเอามะละกอสุกมาทำ ไปเรียนมาจากไหนวะเชฟ
 กัดไปแบบไม่เจอความกรอบ นิ่มๆแปลกๆ ขอกิน3คำเศษๆพอจานนี้
ไปลองกินเองละกันถ้าอยากรู้ แต่บอกเลย ผิดคาดดด เพราะกินกันแทบหมดจาน!
ผัดไทประตูผี ผีแขก
มาถึงผัดไท ได้โปรดอย่าเติมพริกลงไปถ้าไม่อยากทิ้งจานนี้
รสชาติโดยรวมจืดๆ ผักแปลกๆ เส้นไม่ใช้เส้นผัดไทย
อธิบายไม่ถูกเลยสำหรับดีเทลของรสชาติ
แต่อยากให้ลอง แล้วจะได้มาเล่าให้พ่อให้แม่ฟังได้ว่ามันเพี้ยนแค่ไหน
แต่เน้นย้ำ อย่าเติมพริก มาแบบไหนกินไปเถอะ

ผมขอสั้นๆนะ สำหรับอาหารมื้อโพคลามื้อนี้ เพราะเดี๋ยวไปไม่ถึงเบสแคมป์กันพอดี
โอเค ไปต่อกัน
พี่รีบ น้องอย่าชิว
.

Chapter 02

หันกลับไปถ่ายภาพระหว่างเดินขึ้นมาใกล้ถึงยอด Poon Hill
ต่อจากตอนที่แล้ว ตอนนี้ผมมาถึง Ghorepani แล้ว
และตี4วันนี้ก็กำลังเตรียมตัวเดินฝ่าความมืดไปยัง PoonHill เพื่อไปดูวิวข้างบน
ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายที่เป็นปกติ พร้อมรับทุกอย่างในเช้าวันนี้
แต่บางทีรู้สึกตัวเองก็มั่นใจเกินไปนะ
ซึ่งไม่น่ามั่นใจเกินไปเลยจริงๆ เมื่อเดินไปสักพักเกิดอาการปวดท้องใส้ขึ้นมา
คือนี่ขึ้นมาครึ่งทางแล้วนะเว้ยยยย ดันท้องเสีย
ห้องน้ำจะมีเผื่อไว้ให้คนแบบกุมั้ย จะโชคดีเหมือนได้ขี่ม้าอีกสักครั้งมั้ย
ในใจผมพะวงอยู่กับอาการปวดท้องใส้ตลอดเวลา
แต่ แต่ แต่แล้วว โชคก็เข้ามาหาผมอีกครั้ง
ระหว่างทางขึ้นมีจุดพักหลบอยู่ริมทาง ซึ่งมีห้องน้ำมืดๆตั้งยื่นออกไปจากริมผา
คือจะอธิบายง่ายๆว่า พอเดินเข้าไปในห้องน้ำปุ๊บ ในนั้นจะไม่มีอะไรนอกจาก
แผ่นไม้กระดานเจาะรูไว้สำหรับนั่งถ่ายหนัก
และถ้ามองลงไปก็จะพบกับความมืดของ หุบเหวข้างใต้ห้องน้ำ
คือถ้าห้องน้ำถล่ม มึงตกลงไปพร้อมห้องน้ำทันทีว่างั้น ง่ายๆ
.
แต่ความขี้เข้าแซก ไม่สนความเสียวและลมเย็นๆที่พัดตีขึ้นมา
"ต้องปลดทุกข์ตรงจุดนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะยังไง"
(ทำไมรู้สึกตัวเองมีอะไรเข้ามาหาตลอด หรือภูเขาไม่ชอบผมวะ)
.
หลังจากเสร็จพิธีด้วยความยากเย็นแสนลำบาก
ก็เดินออกมาและพบว่า เพื่อนกำลังนั่งรอผมอยู่ข้างนอก
และแสงตะวันกำลังจะขึ้นแล้ว โอ้ย ความขี้ทำให้เพื่อนรอ
แย่จริงๆ ไปต่อกันเถอะ
.
พอเดินมาเงียบๆคนเดียวสักพัก
ยอดเขาที่ดูสงบก็โผล่พ้นยอดสนมาให้สายตาของผมได้มองเห็นมัน
.
..ทำไมสบายตาดีจัง..
.
เข้าใกล้มันเข้าไปทุกที..
ส่วนหนึ่งของภาพที่เราได้เห็น จากที่นั่นในวันนั้น
ผมอยากให้คุณลองไปเยือนนะ เหมือนในความสงบของภูเขานั้นมันกำลังเชื้อเชิญเราให้ไปมองมันอย่างใกล้ชิดมากกว่านี้
นอกจากภาพที่ผมลง ผมว่าคุณควรไปหามันเอง เพราะบางทีคุณจะเห็นมันได้กระจ่างกว่าผม
อยากให้ลองไปสัมผัส ว่าจริงๆแล้วที่นั่นมีความขลังบางอย่างมากกว่าความสวยงาม
.
จากนี้ เราก็ถ่ายรูปเล่นกันไปบนนั้นเรื่อยๆจนแดดเริ่มมามากขึ้น
ก็ถึงเวลาต้องเดินกลับลงไปยังที่พักเพื่อเก็บของ แล้วก็เดินทางต่อไปที่หมู่บ้าน TADAPANI
ภาพหลังจากเดินมาประมาณ2ชม. เมื่อมองกลับไปจะเห็นPoonHillตั้งอยู่จุดบนสุดของเขาที่มีหอขาวๆเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย

Chapter 03

....เดินกันมาได้ยังไง....
ไม่ยากหรอก ร่างกายเรามันก็เหมือนแมลงสาบ
เดี๋ยวสุดท้ายมันก็ปรับสภาพไปเอง เพื่อการอยู่รอด
ของบนหลังก็กลับมาหนักอีกครั้ง และเริ่มก้มหน้าก้มตาถ่ายภาพต่อ
การไปหมู่บ้าน TADAPANI ในวันนี้ค่อนข้างเดินง่าย
ไม่มีทางสูงลิ่วแบบเมื่อวาน จะเป็นการขึ้นๆลงๆสลับไปมา
และมีต้นไม้มากมาย คล้ายๆกับป่าฝน
อากาศ ณ จุดนี้เย็นสบาย มีเสียงลมพัดมาตามริมๆเขาที่เราเดิน
ซึ่งในตอนแรกก็นึกว่าเป็นเสียงน้ำตก
ผมกับราชามักจะเดินคู่กัน คุยกันไปกันมาเรื่อยเปื่อย
รวมถึงเรื่องชีวิต ที่ผมก็อดเห็นใจเขาขึ้นมาเหมือนกันในตอนที่ได้ฟัง
ช่วงแรกๆ หลังจากออกเดินทางมาจากพูนฮิล-หมู่บ้านโกเรปานี เพื่อไปยังหมู่บ้านทาดาปานี
อุโมงค์ดอกไม้ ที่มีชื่อดอกไม้ว่า Lali Gurans เป็นดอกไม้ประจำประเทศเนปาล


ต้นไม้จะเริ่มหงิกงอแปลกตา พร้อมแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามา เลยกลายเป็นบรรยากาศที่ดูฉงนดีนะ
ระหว่างทางต้องคอยหลบม้าและลา รวมถึงฝูงแกะ ที่จะแบกของจากตีนเขาขึ้นมาหมู่บ้านด้านบนทั้งวัน

กัญชา ของ ราชา

ในช่วงที่ผมเดินเท้าคุยกับราชามาถึงจุดหนึ่งที่มีแม่น้ำไหลขนานเส้นทาง
ราชาก็วางสัมภาระลงริมธารน้ำ และบอกให้ผมหยุดรอคนอื่น
ส่วนราชาก็ปลีกตัวเอง เพื่อไปนั่งเรียงก้อนหินอยู่เงียบๆ
ก่อนหน้านี้ราชาเคยบอกกับผมว่า ที่จริงเขาไม่เคยสูบกัญชามาก่อนหรอก
แต่กัญชามีส่วนทำให้เขามีความสุขขึ้นมา ไม่แพ้ชีวิตบนเขาแห่งนี้
ราชาเคยใช้ชีวิตกับพี่น้องของเขาในเมืองกาฐมาณฑุ
และใช้ชีวิตการเป็นไกด์เรื่อยๆไม่รีบเร่งอะไร
แต่เมื่อปีที่แล้ว คือ พ.ศ.2558 ทุกคนก็คงทราบดีว่าอะไรเกิดขึ้นในปีนั้น
แผ่นดินไหวได้แยกแผ่นดิน ภูเขา สายน้ำบางส่วนออกจากธรรมชาติที่เคยมีอยู่เดิม
รวมถึงมันก็ได้แยกชีวิตของเขาออกจากชีวิตพี่น้องของเขาด้วยเช่นกัน
ในวันที่แผ่นดินไหว ซึ่งเกิดขึ้นในตอนเที่ยงพอดี
เป็นเวลาที่ทุกคนกำลังรวมตัวทานอาหารภายในบ้านกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
เช้าวันนั้น ราชากำลังกลับจากเมืองโพคลาหลังจากเป็นไกด์เสร็จ
และแล้วก็มีคนจากบริษัทโทรมาบอกว่า ตอนนี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น
ราชาจึงพยามรีบเดินทางให้ถึงกาฐมาณฑุให้เร็วที่สุด
เพื่อจะไปดูว่าพี่น้องของเขาทั้ง6คน เป็นยังไงบ้าง
และเมื่อไปถึง ราชาก็พบว่า สุดท้ายทุกคนที่บ้านของเขา ไม่มีใครรอด
.
เขาพูดกับผมบ่อยๆว่า
ทำไมพระเจ้าไม่เอาชีวิตของเขาไปด้วยนะ
ทำไมเขาต้องเป็นคนเดียวที่รอด
มันไม่เคยแฟร์เลย
แต่ตอนนี้เขายังมีแม่ ซึ่งผมเองก็จำไม่ได้ว่าเขาเล่าว่ามีพ่อหรือไม่
เขายังมีแม่ที่เหลือไว้ให้เขาได้ดูแล
ในวันนั้น เขาสูญเสียคนรู้จักไปราวๆ50คน
และพี่น้องทั้งหมดในครอบครัว
กัญชา จึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาทำงานได้หนักขึ้น
มันช่วยดึงเขาออกมา จากความทุกข์ที่ฝังหัวใจของเขาไว้ได้เสมอ
ทุกวันนี้เขาอยากเป็นไกด์อาชีพ และเขาใช้ชีวิตกับภูเขามากกว่าที่เคย
เพราะสักวันเขาจะไปขึ้นยอดเขาเอเวอเรส นั่นคือฝันสุดท้ายของการเป็นไกด์
.
ผมนึกเรื่องที่เขาเล่าไว้ก่อนหน้านี้
..และได้แต่นั่งมองราชาเรียงก้อนหินเพื่อภาวนาให้พี่น้องอย่างเงียบๆ จนถึงเวลาเดินต่อ..

กัญชา เหมือนเศษซากแผ่นดินไหว ที่ใช้แยกความทุกข์ออกจากความสุขในชีวิตของราชา

Chapter 04

หลังจากเดินขึ้นๆลงๆไปเรื่อยๆตั้งแต่8โมงเช้าจนมาถึงช่วงบ่าย3เศษๆของวันนี้
เราก็มาถึงหมู่บ้านจุดหมายกันแล้ว นั่นคือ TADAPANI
ซึ่งจริงๆน่าเดินต่อนะ แรงยังเหลือมากๆ แต่คงไม่ทันเพราะบนเขานี่ค่อนข้างมืดเร็ว
แค่4โมงเย็นก็ครึ้มๆอย่างกับ6โมงเย็นแล้ว คงจะมองทางกันลำบาก
ส่วนสภาพอากาศ เรายังไม่เจอฝนกันเลย แค่หนาวๆเย็นๆสลับตามแรงลม
.
เมื่อไปถึง ซึ่งคืนนี้เป็นวันปีใหม่ไทยพอดี นั่นคือวันสงกรานต์
และด้วยความบังเอิญ วันปีใหม่เนปาลก็วันนี้เหมือนกัน
แต่ถ้าถามว่าสำหรับเราจะมีอะไรพิเศษไหมในคืนนี้
เราเลยไปหาคำตอบกับเจ้าของที่พักแห่งนี้ในทันที
ก็ลองถามเขาไปว่าวันพิเศษๆแบบนี้ขอทำอาหารกินเองในมื้อค่ำได้มั้ย
...
แต่คำตอบที่ได้มา ก็สรุปได้ว่าไม่มีอะไรพิเศษในวันนี้หรอก
เสียใจด้วยนะ กินอาหารเนปาลต่อไปจ๊ะ ไม่อนุญาติ
...แย่จริง...

นั่งเรื่อยๆเปื่อยๆ มองพระอาทิตย์จากในห้องอาหารของที่พักไปพลางๆ
เริ่มเดินทางต่อ ถามว่าได้อาบน้ำมั้ย ก็ได้อาบนะ มีน้ำอุ่นแต่เสียเงินนะครับบ
เราจะไป Chhomrong ในวันนี้ .....แต่ไม่ได้นอนที่นั่นนะ ผ่านไปเฉยๆ 

เดินมาได้พักเดียว เริ่มกลายเป็นป่าฝนจริงๆแล้ว
เอาเข้าจริง เหมือนอยู่ในหมู่บ้านแถบยุโรปเลยนะนั้น
ชีวิตที่ไม่มีอะไรมาก ตัดฟืน เลี้ยงสัตว์ ขายของ
การเดินทางวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยพอสมควรแต่ก็พอทน
เราเดินทางขึ้นนน ลงงงง แบบยาวๆในหลายๆช่วง
เมื่อใดที่ลงย่อมมีขึ้น มีความสบาย ความลำบากก็รอเราอยู่เช่นกัน
...อย่าเผลอใจไปนัก...
.
หมู่บ้านแถบนี้ออกแนวน่ารักๆอยู่เหมือนกันนะ ไม่รู้ทำไม สงสัยเป็นเพราะวิวทิวทัศน์
คงจะดีถ้ามีที่แบบนี้อยู่ในเมืองไทยเราบ้าง
จะได้ไม่ต้องถ่อมาถึงนี่ เพื่อดูอะไรแบบนี้
หยุดอยู่ตรงนี้พอมั้ย ..ไม่ได้ดิ เดี๋ยวไม่ถึงสักที
เสพกันไป ณ จุดๆนี้
ถามว่าลงไปถึงแม่น้ำนั่นมั้ย ....ถึงนะ ถึงนั่นละ แล้วเดินขึ้นใหม่อีกที.... คิดละเหนื่อยใจ
Chhomrong เมื่อถึงหมู่บ้านนี้ก็จะรู้สึกว่า มันช่างดูพัฒนามากกว่าที่อื่นๆ ส่วนที่พักของเราคือช่วงตรงกลางของภาพ
บนเข้าลิบๆตานู่นนนน ไม่ใช่ข้างล่างนี่นะ 

Chapter 05

ในความทรงจำลางๆของผม ผมจำไม่ได้ว่า เราไปนอนกันที่ไหนนะ
แต่จำได้ว่า มันจะมี North Sinuwa กับ South Sinuwa
ที่ๆผมไปพักคงจะเป็น South ซะมากกว่า ของกินถูกกว่า ที่พักถูกกว่า เท่านั้นแหละ
.
ส่วน Chhomrong จะคล้ายเป็นเมืองหลวงบนเขาลูกนี้เลย
เพราะเป็นเมืองที่เชื่อมเส้นทางขึ้นเขาทุกเส้นเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งมีสามเส้นทาง
เส้นทางที่เรามาจะผ่านPoonHill ส่วนอีกเส้นทางไม่มีอะไรมาก แต่จะเดินสั้นกว่ามาก
ส่วนความโหดก็พอๆกันนั่นหละ
ซึ่งทางที่ว่า"ไม่มีอะไร"ที่บอกไป ทางนั้นจะเป็นเส้นทางใช้ลงเขาของพวกผม
**จริงๆมันมีแหละ ผมแค่ไม่สนใจเท่าไหร่ แต่คนอื่นสน**
นั่นหมายความว่า เราจะเดินมา Chhomrong อีกครั้งในวันกลับ
และลงอีกทาง
.
เราเดินเลยหมู่บ้าน Chhomrong กันมาสักพัก
ก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนจะมีเสียงฟ้าร้องแว่วๆมานะ
เพราะดูจากสีของน้ำตกที่ไหลผ่านมาระหว่างทาง
เริ่มมีโคลนไหลลงมาปะปน เลยคิดว่าช่วงระดับเหนือเราขึ้นไป ฝนน่าจะตกแล้ว
ราชาจึงเริ่มบอกว่าพวกผมให้เร่งฝีเท้าขึ้นหน่อย ไม่งั้นอาจเจอฝน
ผมกับราชาจึงเดินนำทุกคนไปล่วงหน้าก่อน
เพื่อจะเอาของไปไว้ และกลับลงมาเอาของจากพวกผู้หญิงอีกที
.
ลงแล้ว เตรียมขึ้น - Chhomrong
จากหมู้บ้าน Chhromrong เรายังจะเห็นลาหรือม้าส่งของอยู่ แต่เหนือไปกว่านี้สักหน่อยจะไม่มีแล้ว
เพราะเป็นเขตของพระเจ้าในศาสนาฮินดู คือห้ามนำเนื้อสัตว์และสัตว์ใดๆขึ้นมา
SOUTH SINUWA WITH RAIN
กว่าจะมาถึงจุดในภาพ บอกเลยว่ามาพร้อมฝน แถมลูกเห็บนิดหน่อย
ไอ้ผมกับราชาอะ ก็ทันอยู่นะ แต่พวกเพื่อนๆผมไม่มีใครทัน
ก็เลยนั่งหลบฝนกันอยู่ร้านค้าเล็กๆริมทาง
ชิวสบายกันมาก จริงๆผมไม่น่ารีบเลย
บอกตรงๆว่าการเดินตามราชาเจ้าแห่งภูเขา เหมือนฆ่าตัวตาย
เชี่ยย เดินเร็วไปไหนพี่ครับบบ แล้วทางก็มีแต่ ขึ้นและขึ้น บอกเลยว่า ชันสัส
ขาพัง ปอดเหี่ยว รู้งี้นั่งรอฝนกับเพื่อนดีกว่า
เมื่อมาถึงที่พักก็ออกมานั่งกันหน้าห้อง มองวิวข้างหน้าไป ตากไอฝนไป
เห็นตัวภูเขาฟิชเทลอยู่ลางๆไกลๆ นั่นคือแถวๆจุดที่เราจะไปนอนในคืนวันพรุ่งนี้
ในห้องทานอาหารก็จะมีรูปภาพ ข้อความ สัพเพเหระจากคนที่ผ่านไปผ่านมาติดไว้ เป็นแบบนี้ทุกที่

Chapter 06

การเดินทางมาถึงหมูบ้านนี้ก็เรียกว่าเกินครึ่งทางมาพอสมควร
อีกไม่นานเราก็คงไปถึงจุุดหมายกันแล้ว
เสื้อกันหนาวหนักๆที่หอบมาในเป๋า คงจะถึงเวลาที่ต้องใช้กันสักที
.
หมู่บ้านที่เราจะเดินต่อไปคือ
Deurali โดยที่จะพักที่นั่น ก่อนวันรุ่งขึ้นเราจะเดินทอดน่องไปยัง MBC
หรืออีกชื่อคือ มัชฉาปุชเรย์ หรืออีกชื่อคือ เขาหางปลา โดยไม่ค้างคืน
แต่จะยิงยาวไปยังจุดหมายทันทีคือ ABC หรืออีกชื่อคือ อันนะปุรณะ นั่นเอง
.
การเดินทางในเช้าที่จะไป Deurali
ราชาบอกกับเราว่า ด้านบนต่อจากนี้ไม่อนุญาติให้นำเนื้อสัตว์ขึ้นไป
สิ่งที่ทานได้มีแค่ไข่กับปลา(ทูน่า)เท่านั้น
ซึ่งผมบอกเลยว่า NO TUNA ! เอียนไปตลอดชีวิต จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กินเลย
แต่ไม่วายครับ ผมแอบเอาเนื้อหมูทุบขึ้นไปอะ
เพราะเอาไว้เผื่อกินอะไรไม่ได้จิงๆหรือหิวจัดๆ
(แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กินนะ เกรงใจ)
.
เอาหละ เราควรจะใส่เสื้อกันหนาวและเดินทางกันได้แล้ว
สักพักเราก็เจอฝูงแพะนอนขวางทางอยู่ ซึ่งเกิดอาการลังเลที่จะไปมากๆ คือมันไม่ขยับหลบเราเลยหละ
เมื่อเดินมาพักใหญ่ๆ
ก็เจอกับฝูงแพะ ซึ่งไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ใกล้ชิดแพะขนาดนี้
แบบที่ต้องมาเดินข้ามกันไปกันมาอย่างทุลักทุเล
...มึงจะไม่ขวิดกูใช่มั้ย...ถ้าใช่ก็โอเค.....
" ป้า " คือฉายาของเพื่อนร่วมทริปกระเป๋าส้มจี๊ด ที่กำลังกล้าๆกลัวๆการข้ามแพะอยู่
และน้องผู้ชายข้างหลังคือองครักษ์พิทักษ์ป้า ตามติดกันตลอด และตามหลังพวกผมตลอด
จุดแวะพักระหว่างทาง ไม่มีอะไรมาก เติมน้ำ เติมแรงกันเรื่อยเปื่อย
การเดินทางในวันนี้มีไฮไลท์ตรงที่เราเจอกับฝนตกอย่างหนัก
และแถมมีลูกเห็บด้วย อากาศที่เย็นอยู่แล้วกลายเป็นเย็นยะเยือก
เราต้องเดินฝ่าลูกเห็บไประยะใหญ่
จนมาถึงจุดพักระหว่างทางเล็กๆ ก็เลยตัดสินใจพากันเข้าไปนั่งรอจนกว่าฝนจะเบาลง
ในระหว่างที่พักเราก็เจอคนไทยคนหนึ่ง
พี่เขาเป็นคนที่เที่ยวเก่งมาก และเปิดรูปที่เขาถ่ายบน ABC ให้เราได้ดู
แต่ผมไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่ เพราะอยากเห็นด้วยตาตัวเองมากกว่า
สภาพวันที่เขาไปคือ หิมะตก และเจอพายุหิมะ บวกกับหลงทิศหลงทางในหมอก
.
ซึ่งมาถึงขนาดนี้แล้ว จะยังไงก็ช่าง ขอไปดูด้วยตาตัวเองเอาละกัน
.
ฝนตกหนัก เละเทะ แค่นั้นแหละ

ที่พักหลบฝนระหว่างทางไปหมู่บ้าน Deurali

นั่งรอฝนหยุดตกก็ถ่ายภาพเล่นกันไป พร้อมสั่งโกโก้ร้อนมากินดับหนาว
สักพักใหญ่ ฝนเริ่มซา ราชาก็บอกว่าน่าจะต้องเดินต่อกันได้แล้ว
อื้ม ก็เลยออกไปเก็บข้าวเก็บของใส่เป๋ากันข้างนอก พร้อมแบก
...และเดินต่อกันเถอะ...

การมาถึงหมู่บ้าน Deurali ของกลุ่มเราต้องบอกว่า
เรามากับฝนที่เย็นเยือก และลูกเห็บเม็ดเท่ายาลดน้ำมูก
ซึ่งมือของผมนั้นชาไปหมด ถึงจะใส่ถุงมือกันความหนาวติดลบก็ยังรู้สึกเย็นทะลุเข้ามาอยู่ดี
(ถุงมือจีนแดงปะวะ)
ผมรีบจัดแจงถอดเสื้อกันหนาวแบบกันน้ำ และกางเกงตากไว้หน้าห้องพักทันทีที่มาถึง
ส่วนกระเป๋าหลังไม่เป็นอะไรเพราะมีถุงสวมกันน้ำในตัว
แต่สำหรับบางคน ณ จุดนี้ เป๋าต้องเปียกกันไปบ้างละ

หน้าห้องพัก Deurali ตรงข้ามจะเป็นแนวเขามัชฉาปุชเรย์
ภายในห้องนอน สังเกตผนังห้องค่อนข้างหนาเป็นฟุต ก็ลองคิดดูว่าอากาศที่นี่หนาวเย็นแค่ไหน

บรรยากาศในห้องเหมือนห้องล้างฟิล์มอย่างไงอย่างงั้น
คืนนี้ในขณะที่ผมหลับ
ผมรู้สึกได้ว่า ตัวเองหายใจไม่ค่อยออก แบบว่าหายใจไม่เต็ม
สูดอากาศไปลึกแค่ไหนก็ไม่พอ แถมยังฝันบ้าๆอีกตังหาก
รวมทั้งหิวน้ำบวกกับคอแห้งจัดๆ ขนาดที่ว่าต้องยอมลุกไปหาน้ำในความมืดของคืนนั้นทันที
ผมพยามควานหาขวดน้ำจากกระเป๋าหลัง แต่ก็พบว่าน้ำในป๋องแม่งหมดนี่หว่า
...ลืมเติมจนได้...
เลยพยามส่งไฟฉายให้ทั่วกองสัมภาระในห้อง โดยไม่ให้ไปแยงตาคนที่นอนหลับอยู่
ทุลักทุเลมากแต่ก็พบว่า ไม่มีน้ำเหลือสักขวดอีกเช่นเคย ไม่ว่าจะน้ำของใคร
คงต้องออกไปหาน้ำเติมสินะกู
..
ผมค่อยๆแง้มประตูที่ค่อนข้างเสียงดัง และบานหนา ออกไปข้างนอก
ตอนนี้น่าจะประมาณ เที่ยงคืนได้
ข้างนอกเย็นมากก แต่ดาวโครตสวยยยยยยย ภูเขาหางปลาสวย ลมสงบ
ราชาเคยบอกว่าถ้ามีอะไรให้ไปเรียกเขาได้ในห้องทานอาหาร
แต่เมื่อผมเข้าไปก็พบว่า มีคนนอนขลุกอยู่ในนั้นค่อนข้างเยอะมาก
....แล้วจะไปหาราชาจากไหนวะ....
คงไม่เดินไปแถวที่เขานอนกัน แล้วเอาไฟฉายส่องหน้าทุกคนเพื่อหาราชาแน่ๆ

แต่ด้วยสัญชาติญาณความมั่ว และยังไงต้องเอาตัวรอดให้ได้
ผมมองเข้าไปในครัวซึ่งมีแสงสลัวๆให้เห็นอยู่ว่าภายในมีอะไรบ้าง
ผมจึงลองย่องเข้าไปส่องดู และนั่นคือโชคดีของผมอีกครั้ง
เจอถังเติมน้ำขนาดใหญ่ ก็คงเป็นน้ำกินนั่นหละมั้ง
ผมมองซ้ายมองขวาและค่อยๆเติมน้ำอย่างช้าๆ
จริงๆแอบคิดว่า กลัวเขาจะตื่นมาเจอผม และนึกว่าผมขโมยเติมน้ำ
ก็ไม่อยากให้เข้าใจผิด ผมแค่ไม่อยากปลุกทุกคนตื่น เพื่อแค่มาบอกว่า "ขอน้ำหน่อยนะ"
....
เออ เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก คิดมาก
....
พอเติมน้ำเสร็จผมก็ย่องออกมาอย่างรีบๆ
และเข้าไปในห้องนอน แต่ดันลืมมือถือไว้ที่ถังน้ำ
โอเค กุต้องกลับไปใหม่สินะ  หนาวก็หนาว เสี่ยงก็เสี่ยง
....
**มือถือเอามาส่องไฟฉายครับ คือจุดนั้นไฟฉายที่คาดหัวได้ มันหายไปไหนก็ไม่รู้
สุดท้ายมานึกออกว่า วางไว้ใต้หมอนตั้งแต่เมือง Ghorepani หรือ Chapter 02 นั้นละ
 (ไกลเลยมึง)

..

Chapter 07

 "วันที่คลื่นลมสงบ ไม่มีอะไรให้กังวลใจ"
และมีภูเขาสูง " มัจฉาปุเร " รอให้เราเดินไปอยู่ข้างๆมัน เนื่องด้วยเป็นที่สถิตของเทพ
ทางการของเนปาลเลยประกาศเป็นเขตปลอดนักปีนเขา
จากที่เคยเห็นไกลๆหลายร้อยกิโลเมตร ตอนนี้เราแทบจ้องหน้ากับมันแล้ว

ราชาพยามอธิบายถึงยอดเขามัชฉาปุชเรให้เพื่อนในกลุ่มเราฟัง
หนทางข้างหน้าอีก...ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกล แต่กุจะหมดแรงเพราะO2ต่ำมากกกนี่หละ
ระหว่างทางเราจะต้องข้ามธารน้ำอยู่บ่อยๆ ซึ่งอันตรายบ้างเพราะบางจุดพลาดคือตกลงไปเลย 
(ถ้ามาก็หารองเท้าดีๆกันนะ ช้างดาวนี่ลูกหาบชอบนะ แต่สำหรับเราไม่ไหววะ)

เมื่อเดินกันมาพักหนึ่งเราก็พากันนั่งพักที่ MBC 
ทั้งที่ตอนแรกจะยิงยาวไปถึง ABC เลยทันที
แต่เพราะไม่ชินกับความสูงระดับนี้ ทำให้ทุกคนดูเพลียๆลงไปมาก
อัตราการเดินตกลงแบบ เต่าป่วย บวกกับความหิว
เลยต้องมาแวะหาอะไรกินกันที่ MBC ไปก่อน
ไม่ไหวแล้วถ้าจะให้เดินไปในสภาพนี้ คงทรมานและเสี่ยงได้ลงเขาก่อนแน่ๆ
**ความสูงจุดนี้ก็ประมาณ 3400 เมตรได้ ปกติคนกทม.อาศัยอยู่ที่ระดับ 0-2 เมตรจากน้ำทะเล**

เราไม่ใช่มนุษย์ภูเขาไง เราทำได้แค่ค่อยๆไป ไต่ระดับช้าๆ
เพื่อป้องกันอาการของโรค AMS หรือ Acute Mountain Sickness
เป็นอาการแพ้ความสูงเนื่องจากเม็ดเลือดไม่สามารถนำอ๊อกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่ายกายได้เพียงพอ
จนทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และหนักหน่อยคือเวียนหัว อาเจียน และช็อคจนหมดสติ
และอาจเสียชีวิตได้ ถ้ายังฝืนทน ไม่ลงไปรักษา

ราชาห่วงเราในเรื่องนี้มากๆ เช่นเดียวกับที่เราห่วงตัวเอง

มาถึงจุดนี้ ผมว่าผมโทรมสุด ไม่รู้ผ่านอะไรมานักหนา  5555555555
ก่อนหน้าที่จะมาผมค่อนข้างเครียดเรื่องงานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่
ถึงไม่ใช่งานบริษัทแต่ก็ปวดหัวกว่ามาก ทำให้ก่อนผมบินมา
ผมต้องนอนโรงบาลพร้อมฉีดยา เพราะเครียดและเหนื่อยจัดจนป่วย

ร่างกายยังไม่ทันหายดีมาก ก็ต้องมาผจญอะไรบ้าๆนี้แล้ว ... แต่ก็เอาเลยเต็มที่
จะเป็นอะไรมึงมาให้หมดแล้วจบกันไปนะ

มองจากจุดที่พวกเราพักหาไรกินที่ MBC
มีชาวเนปาลตะโกนให้ผมดูหิมะถล่ม ซึ่งผมได้ยินเสียงก่อนนะ แต่กว่าจะหามันเจอนี่ เซ่อไปพักใหญ่
ทางที่เราต้องใช้เดินไปABC  เมื่อมองจากMBC
เริ่มออกเดินต่อ พื้นเริ่มเต็มไปด้วยหิมะลื่นๆ ได้เวลาทดสอบรองเท้ากันหน่อยละ 55
หลังคาฟ้าเล็กๆนั่นคือ MBC จุดที่เรานั่งพักเที่ยงกัน
ข้างทาง จริงๆอยากลองเดินขึ้นไปนะ แต่สภาพตอนนั้นมึงไปให้ถึง ABC เถอดดด
เมื่อยละ ราชามาถ่ายรูปให้พวกกูที
หลังจากเดินห่อเหี่ยวมาหลายชั่วโมง
เราก็เริ่มเห็นอาคารตั้งอยู่บนเนินไกลๆด้านหน้า
จากฟ้าใสๆ ไม่นานหมอกก็เริ่มไล่หลังมาปกคลุม
จากอาคารที่เราเคยมองเห็น
ตอนนี้ก็กลายเป็นกลุ่มหมอกหมดแล้ว
เราเดินโซเซ พร้อมในใจก็คิดกันหมดว่า เมื่อไหร่จะเดินไปเจอป้าย Annapurna กันสักที
แต่คำตอบก็หาได้ง่ายๆ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาเดินไปเถอะ
...เดี๋ยวก็ถึง...
ออกอาการเงยหน้า เพ้อหาจุดหมาย...
การเดินทางครั้งนี้ ในที่สุดก็มาเจอจุดสุดท้ายกันแล้ว
เมื่อมองฝ่าสายหมอกไป เราก็เจอป้ายอีกครั้ง 
ต่างคนต่างเร่งฝีเท้า เพื่อไปนั่งพักยังโขดหินแถวๆนั้น
คือมันหมดแล้วจริงๆ ทั้งแรง ทั้งเบื่อกับความยืดเยื้อของระยะทาง
ที่ทำได้ ก็ได้แต่คิดว่า จะถึงละ จะถึงละ ..แต่มันก็ไม่ถึงสักที โห้
แต่ตอนนี้มันมาถึงแล้ว
เจอป้ายแล้ว
ขอไปทิ้งตัวและไปบอกตรงๆ หมอกก็หมอก ขอพักก่อน ขี้เกียจเดินไปเบสแคมป์แล้ว
จะถ่ายรูปปปป
Successs
บรรยากาศภายในอันนะปุรณะเบสแคมป์ ท่ามกลางสายหมอกตอนบ่ายแก่ๆ
ได้ห้องพักก็ทิ้งตัวหลบไอหนาวกันพักใหญ่
5555 ทำไมรู้สึกฮากับภาพนี้ คงเพราะช่วงเวลานั้นมันมีความสุขมั้ง ภาพเลยมีความสุข

พอได้นั่งรับความอุ่นสักพักใหญ่
เราก็ตัดสินใจพากันไปนั่งในห้องอาหาร
ซึ่งเป้นจุดที่อบอุ่นกว่า และมีเพื่อนต่างชาติมากมายในนั้น
ส่วนใหญ่ทุกคนจะอ่านหนังสือกันหมด บางคนก็นั่งคุยเบาๆหรือนอนซุกกัน
..
ณ ที่ห้องอาหาร 
เราก็พบน้องสามคนไทยที่เราเคยเจออยู่ระหว่างทางช่วงหมู่บ้าน Tadapani อีกครั้ง
น้องมาบอกว่าเพื่อนของเขาเป็น AMS กัน2คน ส่วนตัวเขาก็เริ่มๆเหมือนกัน แต่ยังโอเค
ตอนนี้อาการน้อง2ใน3คนนั้นไม่โอเคเลย 
น้องพวกนั้น กำลังติดต่อขอฮ.มารับลงจากเขา เพราะคงเดินไม่ไหว
แต่ฮ.สามารถมารับได้ในวันพรุ่งนี้ เพราะนี่ก็เริ่มมืดแล้ว คงต้องทนไปก่อน
ส่วนกลุ่มเราก็โอเคกันเกือบทุกคน
เว้นแต่พี่เบียร์หนึ่งในกลุ่มเรา ได้ซัดพาราเซตามอลไปถึง 5เม็ด
เพราะน่าจะเกิดอาการ AMS นิดๆหน่อยๆ เลยขอตัวไปนอนก่อนใคร
(ตกใจมากเมื่อรู้ว่าพี่เบียร์กินไปขนาดนั้น)
และหลังจากนั้นเราก็ไปนอนหลบหนาวกันตั้งแต่ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่ม
ถึงจุดนี้ อะไรก็ทำให้หลับได้ทั้งนั้น ..ถอดปลั๊กก
..
บรรยากาศภายในห้องอาหาร

LAST POINT

เช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของการใช้ชีวิตบนเขา
เราตื่นขึ้นมาเดินเล่นกันแต่เช้า
ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงตี3เราก็ตื่นนะ เพื่อไปดูดาว
แต่ผมว่าดาวที่สวยที่สุดน่าจะเป็นช่วงคืนใน Deurali
เพราะอากาศดี ฟ้าเปิดมากกว่าที่นี่มาก ..ซึ่งถือเป็นโชคไม่ดีของเราเลย

เมื่อเราเดินออกมาก็พบว่าหมอกยังคงปกคลุม
เรายังต้องรอต่อไปเพื่อให้ฟ้าเปิด และจะได้เห็นยอดเขาอันนะปุรณะ
ที่ๆเรามาเพื่อได้มองความสวยงามของมัน

แม้มันจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามาที่นี้
มาสัมผัสทุกๆอย่างที่อยู่ในประเทศนี้ ดินแดนนี้
คำตอบทุกอย่างที่เราได้พบ เกิดที่ระหว่างทางเสมอมา

ส่วนปลายทางแค่กำไร
และสิ่งที่น่าจดจำคือ เรามากับใคร
ได้เพื่อนใหม่กันไป ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังชวนกันไปไหนมาไหน
แต่ปัจจุบันตัวผมก็ยังนิ่งๆ ไม่รู้จะไปไหนดี ถ้ายังไม่มีความอยากก็ยังไม่อยากไปไหน
และเหมือนยังโดนหิมะที่เนปาลแช่แข็งให้ชีวิตยังต้องอยู่กับที่นิ่งๆแบบนี้

..ผมควรหลอมละลายมันสักที..
และเริ่มเส้นทางใหม่ได้แล้ว
...ผมว่านะ...

น้ำค้างจับตัวรวมกันเป็นน้ำแข็ง
แคมป์นักปีนเขาชาวญี่ปุ่น ที่กำลังปีนขึ้นไปพิชิตยอดเขาอันนะปุรณะ1 อยู่ในขณะนั้น
นักปีนเขาที่มาพิชิตยอดเขาอันนะปุรณะ
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถพิชิตมันได้
ยอดเขาแห่งนี้มีความอันตรายมาก และอาจมากกว่าเอเวอเรส
และอาจพอๆกับยอดเขา K2
เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่มีความแน่นอนในแต่ละชั่วโมง
ผสานกับอัตราการเกิดหิมะถล่มค่อนข้างสูงมาก พร้อมกับความลาดชันสุดๆ
เหมือนที่ผมได้ลงภาพไว้ ซึ่งนั่นแค่เล็กๆ
ทำให้บางครั้งที่แห่งนี้มักจะมีญาติของนักปีนเขาเดินทางมาไว้อาลัยทุกปี
ไม่ใช่มีแค่นักท่องเที่ยวอย่างเราหรอก

รายชื่อ ผู้เสียชีวิตขณะพิชิตยอดเขาแห่งนี้ ถูกติดไว้ตามหิน สถูป ตามแนวผา





และแล้วเมื่อผมถ่ายรูปบริเวณรอบๆเล่นไปเรื่อย
ในที่สุด อันนะปุรณะใต้ และอันนะปุรณะ 1
ก็ได้เผยตัวตนออกจากม่านหมอกให้ผมได้เห็นมันสักที

อันนะปุรณะ1 ขณะถูกกลุ่มหมอกหนาปกคลุม
ในขณะที่อันนะปุรณะใต้ ได้เปิดเผยตัวเองแล้ว แต่พระเอกของทริปยังซ่อนตัวอยู่เลย
ไม่นาน หมอกก็เริ่มลดลงเพราะโดนไอแดด อันนะปุรณะ1 ก็เผยตัวเองออกมาจนได้
ที่ 4,130 เมตร
ผมยืนมองภูเขานั่นอยู่พักใหญ่ รวมทั้งมองผู้คนรอบๆตัว ที่กำลังมองมันอยู่พร้อมกับผม
และได้ติดแต่แค่ว่า เรามาแล้ว เรารู้สึกยังไง เขารู้สึกยังไง ก็ได้แค่คิดแต่ไม่สนใจคำตอบ
และตอนนี้เราก็ต้องเตรียมตัวเดินทางกลับกันแล้วหละ
ทั้งที่ความจริงผมและเราทุกคนอยากจะค้างอีกสักคืน
แต่ด้วยระยะเวลาที่ไม่พอ บวกกับจองตั๋วเครื่องไว้แล้ว เลยต้องยอมลง

..แค่อยากจะเสพอีกหน่อย..

ราชายังดื่มด่ำกับกัญชาของเขาเหมือนที่ผ่านๆมา
เราใช้เวลาสักพักในห้องอาหารตอนเช้า
น้องๆคนไทยที่ขึ้นไปเจอกัน เตรียมตัวขึ้น ฮ.ที่จะมารับลงไปในช่วงสาย
เหตุผลหนึ่งที่เราควรทำประกันชีวิตก่อนมาเดินเขา
คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องที่เราไม่คาดคิด และร่างกายเราไม่พร้อมรับ
ค่า ฮ.ที่น้องๆคนไทยนั่งกลับนั้นตกราวๆ 3หมื่นบาท
ซึ่งดีที่น้องและเราทุกคนล้วนทำประกันชีวิตไว้
ภาพเฮริคอปเตอร์ขณะบินผ่านเราเพื่อไปรับคนป่วยที่เบสแคมป์ตลอดช่วงบ่าย 

Time to say ... Goodbye 

อากาศในวันเดินกลับดีมากๆ ผิดกับตอนขามาที่เจอทั้งหมอกและฝน
จากซ้ายไปขวา
น้องพงศ์ หนุ่มวิศวะ จากม.เกษตร ซึ่งตอนนี้เริ่มทำงานเรียบร้อยแล้ว ,จากในเพจ
(ป้า)นับ - สาววัยทำงานผู้มาร่วมทริปนี้กับผมคนแรก หลังจากจบทริปนี้ ป้าก็มียิงยาวทริปอื่นๆอีกเพียบ ,จากในเพจ
ตะวัน - เพื่อนสมัยมหาลัยผู้แพ้คำเชินชวนจากผมจนได้ ลงทุนซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างภายในไม่กี่วันก่อนไป
น้องมุก - รุ่นน้องมหาลัย สาวร็อคสายดิบ ที่ทำงานได้ไม่กี่เดือน ก็ขอลางานยาวตามมาซะงั้น และแม่งลาได้ด้วยนะ
ผม - แค่คนบ้า
พี่เบียร์ - สาวตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้รักการเดินเขามาก และล่าสุดพี่เขาก็ไปเดินเขาที่จีนมาด้วย ,จากพันทิพ
คงขอข้ามเส้นทางช่วงเวลาลงเขาเอาไว้ ไม่ใช่มันไม่มีอะไร
แต่อยากเล่าถึงแค่ตรงนี้
และมีอีกบางเรื่องที่ไม่ได้เล่า
เพราะอยากขอเก็บไว้ในใจ
..
เป้าหมายไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง
ระหว่างทางไม่สำคัญเท่าคนที่มาด้วยกัน
..
ต้องจบแล้วใช่มะ
งั้นจบเลยละกัน จบง่ายๆ

ขึ้นเครื่องบินกลับไปเมืองไทยกันสักที
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ
...คิดถึงส้มตำที่สุด...








หวังว่าจะเจอกันใหม่ในทริปหน้านะ หวังว่าอยากจะรอเหมือนกัน

keep going
www.facebook.com/nowhere.postcard