" LAOS "
ยอมรับความจริงว่า กว่าจะได้เริ่มเขียนเรื่องการไปเที่ยวลาวทริปนี้
ก็กินเวลามา1ปีกับอีกไม่กี่วันพอดี (จากการแจ้งเตือนของเฟสบุ๊ค)
ผมจำไม่ค่อยได้ว่า ทริปนี้เริ่มต้นกันยังไง อะไรคือแรงบันดาลใจให้ไปที่ลาว
แต่ที่จำได้ลางๆ มันน่าจะเกิดจากเพื่อนผมคนเดียวคนเดิม ที่ผมชวนมันไปเนปาล
( ทริปลาวนี้เกิดขึ้นก่อนทริปเนปาลนะ )
มันคงเป็นวันหนึ่งที่ตะวันทักเฟสมาในกลุ่มแชทของพวกผม
ซึ่งมีกัน 4 ชีวิตในตอนนั้น แต่ก็เพิ่มเป็น 5 ชีวิตในตอนนี้
และก่อนจะเขียนต่อ ขอบอกว่าภาษาที่ใช้ อาจไม่ลื่นหูนัก เพื่อให้ตรงกับบริบทของทริป
และก่อนจะเขียนต่อ ขอบอกว่าภาษาที่ใช้ อาจไม่ลื่นหูนัก เพื่อให้ตรงกับบริบทของทริป
ในวันนั้นตะวันเริ่มสร้างสถานการณ์เกี่ยวกับเมืองวังเวียงขึ้นมา
ซึ่งประมาณว่า "เห้ย มันโอเคนะเว้ย แดกเบียร์ริมแม่น้ำงี้ เมืองแม่งอย่างชิววว "
พร้อมกับภาพเมืองวังเวียง มีแม่น้ำซองไหลผ่าน พร้อมแพริมน้ำ ในช่วงพระอาทิตย์ตก
ที่แม่งไม่รู้มันไปหามาจากไหน แต่ผมก็ให้ผ่าน ... คำว่าผ่าน คือ "เออ กุไปด้วย.."
เพราะจริงๆแล้วผมก็รู้มาก่อนหน้านี้บ้างละว่า วังเวียง มีสไตล์แนวๆไหน
จากการที่มีผู้คนนับร้อยตามเพจต่างๆ พากันลงภาพวังเวียงเป็นร้อยๆภาพ
รวมทั้งข้อมูลมากมายที่ช่วยให้การเดินทางง่ายแสนง่าย
แต่ติดตรงที่ว่า ผมไม่ชอบอ่านข้อมูลพวกนั้นหวะ ดูแต่รูปผ่านๆบ้าง
..
ในตอนนั้นรู้แค่ มันคือเมืองวังเวียงที่มีแม่น้ำซองและคนแดกเบียร์กันกลางน้ำ
เพราะจริงๆแล้วผมก็รู้มาก่อนหน้านี้บ้างละว่า วังเวียง มีสไตล์แนวๆไหน
จากการที่มีผู้คนนับร้อยตามเพจต่างๆ พากันลงภาพวังเวียงเป็นร้อยๆภาพ
รวมทั้งข้อมูลมากมายที่ช่วยให้การเดินทางง่ายแสนง่าย
แต่ติดตรงที่ว่า ผมไม่ชอบอ่านข้อมูลพวกนั้นหวะ ดูแต่รูปผ่านๆบ้าง
..
![]() |
วังเวียงก็ประมาณนั้นแหละ |
ตามที่ตะวันบอกเล่ามา ผนวกกับภาพที่ลองไปเสิร์ชดู
การที่ตอบไปว่า "กุไปด้วย" แต่แล้วไปไหนมั่งอะ กี่วัน งบเท่าไหร่ มีที่พักยัง ไปยังไง
......
คำถามพวกนั้นคือสิ่งที่ผมไม่ได้คิด และก็ไม่ได้ถามก่อนจะตอบตกลงซะด้วยซ้ำ
เพราะคิดว่า เออ กูไม่ใช่คนชวน ไม่ต้องไปคิดไรมาก ทำตัวเป็นเห็บเกาะหมาพอ
สถานะของผมคือ "ความสบายยยยยยยยยยยยย" คือสิ่งที่ผมควรจะได้รับ
แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก
ความเงียบของทริปนี้เริ่มก่อตัวหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ
ไม่มีการพูดถึงแผน ไม่มีการคุยถึงสถานที่เที่ยว ไม่มีการพูดถึงงบ และเหี้ยไรทั้งนั้นน
จนทำให้ผมคิดว่า มันจะชิวกันเกินไปปะวะ
เลยลองทักถามถึงเรื่องพวกนี้กับตะวันดูหน่อย เผื่อจะมีอะไรคืบหน้าแต่ผมอาจไม่รู้เท่านั้นเอง
"ตะวันทริปนี้ใครไปบ้าง"
"ตะวันไปไหนบ้าง"
"ตะวันนอนไหนกัน ให้กูหาที่พักให้มั้ย"
"ตะวันนอนไหนกัน ให้กูหาที่พักให้มั้ย"
.....
คำตอบที่จำได้ลางๆและพอจะสรุปได้คือ
"ยังไม่ชัวร์" คือ ใครจะไปบ้าง หรือใครจะเทบ้าง จะมีตัวหารกี่คน อันนี้ก็ไม่รู้
"มึงไปหาที่เที่ยวมาหน่อยสิ" คือการตอบกลับมาว่า ให้ผมหาที่เที่ยวให้ ทั้งที่แม่งชวน
"ไปเดินหาเอาที่นู่น" คือไม่ต้องจอง ไม่มีที่พักก็ช่างแม่ง นอนร้านเหล้า จบ
"มึงไปหาที่เที่ยวมาหน่อยสิ" คือการตอบกลับมาว่า ให้ผมหาที่เที่ยวให้ ทั้งที่แม่งชวน
"ไปเดินหาเอาที่นู่น" คือไม่ต้องจอง ไม่มีที่พักก็ช่างแม่ง นอนร้านเหล้า จบ
...ส่วนคำถามเดียวที่พอจะช่วยให้คนไม่รู้เหี้ยไรเลยอย่างผมได้พอเตรียมตัวได้บ้างก็คือ
..งบประมาณ..
..งบประมาณ..
งบที่มีการคอนเฟิร์มกันอย่างมั่นใจว่า "ห้าพันบาท" ก็พอ (ใครไม่รู้บอกว่าอ่านมาจากพันทิพ)
โอเค อย่างน้อยผมก็ได้คำตอบสักเรื่อง จาก3-4คำถามที่ยิงไปแล้วแม่งไม่ได้อะไรกลับมาเลย
อย่างแรกที่ผทต้องทำคือ กุต้องหาที่เที่ยวทั้งหมดสินะ
บอกตรงๆว่าไม่ได้อินกับวังเวียงเท่าไหร่ ไม่ได้อยากรู้อะไรมากมายขนาดนั้น
แค่อยากจะบอกว่า พาไปไหนกูก็ไปได้หมด มึงพาไปได้เลยยย
แต่
อื้ม ..สุดท้ายกูต้องมานั่งวางแผน ถามอากู๋ว่าไอ้วังเวียง มันมีอะไรให้ไปบ้าง
แล้วที่พักมีที่ไหนน่าสนใจ ราคาถูกๆบ้าง ไปยังไงบ้าง
รวมไปถึงการเช่าเรือหรือการเช่าห่วงยางล่องแม่น้ำซอง แม่งราคาเท่าไหร่
เพื่อที่จะได้มาคำนวณตังค์ในกระเป๋าได้บ้าง เพราะไม่ค่อยเชื่อข้อมูลลอยๆ
เพื่อที่จะได้มาคำนวณตังค์ในกระเป๋าได้บ้าง เพราะไม่ค่อยเชื่อข้อมูลลอยๆ
และเป็นกุที่ต้องมาคิดโปรแกรมให้หมดตลอดทั้งทริป ...สินะ
...
ถามจริงๆ ถึงตอนนี้ ใครชวนใครกันแน่วะ มึงตอบกูมาให้ชื่นใจ
...
CHAPTER 01
ผมจำได้ว่า ช่วงนั้นผมกำลังคุมงานก่อสร้างอยู่ที่จังหวัดเลย
ซึ่งมันก็กำลังไปได้โอเคถึงจะไม่โอเคมากมาย แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรให้กังวล
( ซึ่งก่อนหน้านี้ผมกำลังจะได้ไปเวียดนาม แต่ก็สละยานทิ้งตั๋วไปเพราะงานนี้แหละ )
แพลนการเที่ยวครั้งนี้กินเวลาประมาณ 6 วัน รวมไป-กลับ ซึ่งโอเคไม่ยาวมากจนเกินไป
และในแพลนมีแค่เมืองวังเวียงเท่านั้นที่จะไปเที่ยว
แต่ก็มีคำถามส่วนตัวขึ้นมาข้อใหญ่ๆว่า
กูจะไปทำอะไรทีวังเวียงตั้ง 4-5 วันวะ มันมีอะไรให้ทำขนาดนั้นเลยหรอ
ซึ่งจริงๆตอนนั้นผมคิดเชี่ยไรไม่ออกไง เลยเขียนแพลนไปแม่งว่า "นอนพักผ่อน"
เออ นั่นหละ ไม่รู้ไงว่าจะทำอะไร ตะวันแม่งก็บอกอยางเดียวจัดมาเลย
ยังไม่รวมเพื่อนอีก 2 คน ที่เงียบกริบ ไม่มีข้อมูลอะไรให้กูทั้งนั้น
และยังไม่รวมพวกที่เทไม่ยอมมาอีก 2 คน
ทำให้ตอนแรกคิดว่าจะเหลือกันแค่3คนซะแล้ว ดีที่ยังมี "ติ๋ม" เพิ่มขึ้นมา
หนุ่มหน้าตาตี๋ๆ ตัวเล็กๆ หน้าใสๆ พูดจาเมาๆ
ซึ่งเป็นเพื่อนมหาลัยอีกคน แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเกรียนของพวกผมหรอก
ไม่รู้ช่วงหลังไมค์ตะวันไปลากมาได้ยังไงเหมือนกัน
แต่ก็ดีกว่าการไปเที่ยวแค่3คน แม่งคงกร่อยมากแน่ๆ
ซึ่งตอนนี้สมาชิกก็ประกอบไปด้วยตะวัน นภ เบ๊น และ ...ติ๋ม
ทำให้ทริปนี้ มียอดรวมเป็นหนุ่มบ้านๆ4คน
..ขอบคุณตะวัน ครั้งที่ 1..
หลังจากได้จำนวนสมาชิกเป็นที่แน่นอนแล้ว
ก็เริ่มการนัดวันเดินทางว่าจะมาเจอกันที่ไหนยังไง
ตอนนั้นพวกเราเลือกการเดินทางโดย รถบัสจากกทม.มาลงที่อุดรธานีในตอนเช้า
ก่อนที่จะพากันต่อรถไปที่เวียงจันทร์ และมุ่งตรงไปยังวังเวียงในทันที
ซึ่งผมไม่มีคำถามอะไรทั้งนั้นสำหรับเรื่องรถบัส เพราะตะวันมีข้อมูลมาพร้อมหมดแล้ว
..ขอบคุณตะวัน ครั้งที่ 2..
หลังจากได้จำนวนสมาชิกเป็นที่แน่นอนแล้ว
ก็เริ่มการนัดวันเดินทางว่าจะมาเจอกันที่ไหนยังไง
ตอนนั้นพวกเราเลือกการเดินทางโดย รถบัสจากกทม.มาลงที่อุดรธานีในตอนเช้า
ก่อนที่จะพากันต่อรถไปที่เวียงจันทร์ และมุ่งตรงไปยังวังเวียงในทันที
ซึ่งผมไม่มีคำถามอะไรทั้งนั้นสำหรับเรื่องรถบัส เพราะตะวันมีข้อมูลมาพร้อมหมดแล้ว
..ขอบคุณตะวัน ครั้งที่ 2..
เรามาถึงอุดรธานีในเช้ามืดวันถัดมา หลังจากไปมึนๆหาจุดขึ้นรถอยู่ที่บขส.นครชัยแอร์
เพราะว่ารอบรถของเรามันไม่มีการโชว์ขึ้นจอว่าจะมาถึงกี่ทุ่ม
มันจึงทำให้เราค่อนข้างกระวนกระวายว่าจะตกรถกัน
ถึงจะไปถามเจ้าหน้าที่ของนครชัยแอร์ ก็ได้คำตอบมาแค่ว่า ..ให้ไปนั่งรออยู่ตรงจุดนั้น
ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมสักอย่าง แต่โอเค ยังไงกูขอบใจมาก
พอพวกผมมาถึงบขส.อุดรก็ต้องมานั่งรอเคาท์เตอร์ขายตั๋วไปเวียงจันทร์อีกเป็นชั่วโมง
ระหว่างรอก็เดินไปเดินมา ชาร์ตโทรศัพท์ นั่งหลับ เดินไปเซเว่น
ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ หรือจะไปคุยกับพระเมาๆที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นก็ได้
ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครไปคุยใช่มะ .... แต่มี!!
ติ๋ม หนุ่มตี๋ตัวเล็ก อยู่ดีๆก็ได้ไปเป็นคู่สนทนากับพระรูปนั้นซะแล้ว
....
ผมนั่งมองมันอยู่พักนึง ด้วยความสงสัยที่ว่า แม่งคุยอะไรกันวะ นานมาก หรือเสือกถูกคอ?
แต่ผมสามารถจับสีหน้าของติ๋มได้ประมาณว่า
หลวงพ่อปล่อยให้ผมอยู่เงียบๆคนเดียวเถอะนะ ไม่ไหวแล้วอะ
แต่ผมก็ทำได้แค่ เรื่องของมึงแล้วติ๋ม มึงเอาตัวรอดเอาเองนะ กุขอมีชีวิตแบบสงบๆละกัน
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อไปกว่าชั่วโมง
ไอ้ช่องจำหน่ายตั๋วไปวังเวียงก็เปิดสักที และหลังจากนั้นก็ต้องรอรถต่ออีกพักใหญ่..เหมือนเดิม
...แม่งมีแต่รอจริงๆ ไม่มีอะไรเล๊ยย...
CHAPTER 02
หลังจากเราขึ้นรถมาแต่เช้า ..หรือสายนิดๆ
ก็ไม่มีอะไรมาก รถก็พาเราผ่านเมืองเวียงจันทร์ และยิงยาวไปยังวังเวียง
ความรู้สึกตอนนั้นคือ เพลียและเอาแต่หลับตามสไตล์คนไม่ชอบนั่งรถตอนกลางวัน
ระหว่างทางก็มีบ้านเรือนเก่าๆ แผ่นดินแล้งๆให้ดู
ส่วนถนนก็เป็นลูกรังตั้งแต่รถแล่นออกจากเขตเมืองเวียงจันทร์
ฝุ่นนี่คละคลุ้งไปทั่ว ตามเส้นทางที่รถวิ่ง
ทั้งล้างและเคลือบแก้วรถไปด้วย
... อื้ม ก็โอเคนะ คงมาล้างกันทุกวันจนตังค์แม่งหมดบ้านเลยหละ
หรือไม่ก็ขี้เกียจล้างไปก่อน เพราะฝุ่นแม่งเยอะชิบหาย
ไม่รู้ว่าคนลาวจะมีตังค์เยอะแค่ไหนสำหรับไว้ดูแลเรื่องรถ
แต่จะว่าไป รถที่ลาวถูกมากๆเมื่อเทียบกับราคารถของไทย
เพราะการเก็บภาษีนำเข้ารถ โดยเฉพาะรถเกาหลีโครตจะต่ำมากๆ
อย่างคันละล้านที่บ้านเรา ที่ลาวก็ประมาณ หกแสนหรือต่ำกว่านั่น
...แม่งน่าข้ามไปขโมยรถที่ลาวมาขายวะ...
![]() |
ติ๋ม และ ตะวัน จ้า |
![]() |
เชี่ยเบ๊น ผู้คิดเรื่องการล้างรถ ..เริ่มทริปแม่งยังอายกล้องอยู่ |
ดองทริปนี้ไว้ปีนึงเต็มๆกว่าจะได้เอามาเขียนเล่าเล่นๆ
หลังจากนั่งรถมาแต่เช้าจากฝั่งไทยข้ามมาถึงเวียงจันทร์ทางหนองคาย
และแล้วพวกผมก็มาถึงเขตเมืองวังเวียงสักที
ล่อไปเกือบ 5โมงเย็น และเราก็ลงรถมาด้วยอาการงงๆเล็กน้อยว่ายังไงต่อ
เพราะตอนนี้ อยู่อีกฝากหนึ่งของเมือง คั่นด้วยสนามบินที่มีแต่ร้านค้าและรถมาจอด
ประมาณว่าเป็นลานบินที่ไม่มีเครื่องบินลงนั่นแหละ
แต่ก็นึกอะไรไม่ออกว่าจะยังไงบวกกับปวดฉี่ ก็ขอไปหาที่ฉี่แถวนั้นก่อนละกันพวกกู
ซึ่งการไปฉี่แม่งก็เหมือนอวัยวะติดกัน คือ แม่งต้องเดินไปหาห้องน้ำด้วยกันทั้งหมด
....
แล้วใครดูรถละวะ
.....
อืม นั่นละ พอเดินออกมาสรุปรถที่วิ่งเข้าเมืองวังเวียงแม่งไปหมดละ ชิบหาย
ไอ่สัสส แล้วพวกกูอะ
ยืนงง มองหน้ากันตามภาษาควายมาเที่ยว
เดินมั้ยอะมึง . . คำถามโง่ๆจากผมเองมั้ง แม่งจะบู๊ไปไหนพ่อคุณ
แต่พอยืนงงๆกันอยู่สักพัก ก็เหมือนมีข่าวมาจากไหนสักที่ว่า
รถอีกคันกำลังจะมารับ รอไปก่อน
อื้ม ก็ไม่รู้อะ รอก็รอ กูทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนี่ หึ
..ถามจริงมาเที่ยวนี่ รู้อะไรบ้าง..
![]() |
เริ่มเข้าเขตเมืองวังเวียง สังเกตจากเขารูปทรงสูงๆแบบนี้ |
โอเค มีหนทางไปต่อได้สักทีนะ
เวลาตอนนี้แม่งคือพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าละ
แดดเริ่มออกแนวๆจะทิ้งพวกกูไปอย่างรวดเร็ว
อากาศก็เย็นๆ ชวนให้รู้สึกถึงความอ้างว้างกับชีวิต
ชีวิตที่ไม่มีที่พัก และแดดก็กำลังจะหมด
พวกผมลงจากรถและเริ่มคาดเดาเส้นทางที่จะไปหาแหล่งที่มีที่พัก
ใครๆก็ว่าที่พักเยอะแยะ เดี๋ยวก็เจอไม่ยากหรอกแสส (ใครพูดนะ ตอบที)
แต่มึงถามราคารึยังว่าแม่งกี่บาท พ่อองงงงตายย
ที่แรกที่ไปด้อมๆมองๆ คืนละเป็นพันๆ มีแต่แพงๆ คนละหกร้อยงี้ เห็นกุรวยนักสิ หึหึ ..หึ
บอกเลยกรุ๊ปนี้ขอคืนละสามร้อยต่อคนเท่านั้นแหละ ร้อยนึงก็ได้ถ้ามีบุญ ไม่อยากจะอวด
............
การเดินหาที่พัก เดินไปอย่างหนืดๆ และสุดท้ายก็ต้องย้อนกลับทางเดิม
และเหมือนมีที่นึง สะดุุดตาตั้งแต่แรกละหละ
แต่จำไม่ได้ว่า ทำไมไม่เข้าไปถามราคา ...นึกไม่ออกจริงๆ
หรืออาจเพราะตอนแรกไม่มีคนอยู่หน้าเคาท์เตอร์มั้ง
ที่พักที่เราย้อนกลับมาถาม เป็นความหวังสุดท้ายละ
คือ ยังไงกูก็ต้องสู้ราคาเพื่อให้ได้นอน และเก็บของสักทีิอะ
เพลียชิบหายนะจุดๆนี้
ที่พักตรงนี้จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร มีแต่ภาพถ่าย
และอีกอย่าง คนไทยเป็นคนดูแลกิจการเว้ย
พี่ผู้ชายกับพี่ผู้หญิงเป็นคนไทยทั้งคู่ เออ ถ้าจำไม่ผิดนะ
หรือพี่ผู้ชายหนีมามีแฟนเป็นคนลาววะ ... แม่งไม่น่าใช่ พี่เขาน่าจะมีพล็อตชีวิตง่ายๆกว่านั้น
ตอนนี้อาศัยลูกความจำอย่างเดียว
ชื่อพี่เขาก็ยังจำไม่ได้ โทษที
![]() |
สังเกตเป้ไอ้เบ๊น ดูพะลุงพะลังเซอๆใช่มะ ไม่อะไรหรอก แม่งเป๋าซิบแตกทุกส่วน เลยเอาเสื้อมัดไว้ และเป๋ก็ไม่ใช่ของใครที่ไหน เป็นซากอารยธรรมเป้จากตะวัน ขากลับแทบโยนทิ้งไว้เวียงจันทร์ |
![]() |
ชื่ออะไร ใครจำได้ใครรู้ เออ นั่นละ ชิวๆ พี่ๆก็ใจดี มาพักได้ ราคาคนแบบพวกผมก็นอนได้อะ ...คนแบบที่ไม่มีเหี้ยไรเลยยย.. |
หลังจากที่ได้ที่พักแล้ว ก็ขึ้นไปเดินหาของกินเพราะนี่ก็จะทุ่มนึงแล้วหละ
ได้ที่พักแบบทุลักทุเล ตอนนี้หิวโซ ยิ่งผมนี่หิวแบบไม่เก็บอาการ
เจอส้นตีนไรก็อยากเข้าไปควักตังค์ซื้อหมด
เชี่ย ก็คนมันไม่ชอบทนหิวนี่หว่า
แต่ในหัวผมอะ ดูรีวิวมาละ มันมีร้านนึงเป็นร้านจิ้มจุ่ม
หามาจากตามเน็ตนั่นละ ไม่ยาก
ระหว่างทางก็เดินไป หลงนิดๆหน่อยๆ ถามทางเขาไป
ถึงแม้จะถามจากพี่ผู้ชายที่โรงแรมแล้ว ก็ยังเสือกลืมและงงในเส้นทาง
และระหว่างทางก็ยังเจอโฮสเทลอีก
ราคาโคตถูก ตะวันบอกรู้งี้น่ามาเจอก่อน ได้คุยกับคนต่างชาติด้วย
ส่วนผมหรอ ขอแค่ถูกก็พอ คุยไม่คุยอีกเรื่อง
มีคนเคยบอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยว
เป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อถือไม่ได้ และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
แต่เอาจริงๆลึกๆผมไม่แคร์นะ การคุยดีจะตายไป ได้รู้เรื่องราวของเขา
สนุกดีออก แต่ตอนนั้นขอกินและงีบก่อนได้มั้ยหละ
และในที่สุดก็เดินมาเจอร้านจิ้มจุ่มในโปรแกรมสักที
...สำหรับเรื่องกินนี่ต้องมีเป้าหมาย มาเดินลอยๆหลงทางแบบหาโรงแรม คงจะรับไม่ได้อะ..
![]() |
ผมไปถามทางหาร้านจิ้มจุ่มจนได้ แต่ก็ต้องแลกกับคำสัญญาว่าจะมาซื้อป้าแกกินในตอนขากลับ ...ซึ่งจริงๆไม่ต้องสัญญากูก็ซื้อ กูหิววว... |
![]() |
จำชื่อร้านไม่ได้ รสชาติอาหารโอเค แต่ไปหารีวิวเอาเองนะ มีเยอะมากหาง่าย |
จุดที่จะไปต่อในโปรแกรมจากผมคือ ซากุระบาร์ที่มีคนริวิวเยอะแยะมากมาย
แต่บอกไว้ก่อน ผมมันไม่ใช่สายอวยนะ ว่าไปตามจริง
แต่ก่อนจะไปท่องโลกียามค่ำคืน กลับไปตั้งหลักหาข้อมูลของวันพรุ่งนี้ก่อนดีมั้ย
คือ มึงจะไม่มีแพลนเลยก็ไม่ได้นะสาสสส วันต่อวันก็ยังดี แม่งง
อะเค กลับก็กลับ ..ไปหาข้อมูลจากพี่ผู้ชายก่อนดีกว่า ว่าพรุ่งนี้ไปไหน ยังไง ที่ไหน
พอกลับไปก็ตัดสินใจอาบน้ำอาบท่ากัน ใครจะขึ้นมาคุยอะไรก็คุย
ส่วนผมนั่งถ่ายรูปบวกกับรออาบน้ำแค่นั้น
ส่วนคนที่พยามหาข้อมูลหน่อยก็มีตะวัน ที่ไปคุยกับพี่ผู้ชายตรงเคาท์เตอร์
และยังได้พี่ๆคนไทยมาร่วมวงอีกตั้ง2กรุ๊ป
โอ้โห กุว่าทริปเราแม่งมากับดวงจริงๆก็คราวนี้แหละ
คุยไปคุยมา เจอคนไทย คุยไปคุยมา เชี่ย มีแพลนกับเขาขึ้นมาทันที
แถมคุยไปคุยมา ไอ้สัสสส มึงบอกว่าจะไปถึงหลวงพระบางแล้วว
เออ กูเห็นด้วย กูก็อยากไปไง แต่งบมึงอะ เตรียมมาแค่มานอนเล่นที่วังเวียงชิวๆ
แค่ 4-5 วัน นะโว้ยยยยยยย
แต่แล้วยังไงอะ ลาวก็มีตู้ ATM นิ กลัวไร๊ ?
จบ คืนนั้นโอเค แพลนพรุ่งนี้คืออยู่วังเวียง ค่ำมาขึ้นรถบัสไปหลวงพระบาง
...นอนแม่งบนรถนั่นละ ประหยัดค่าโรงแรม...
แต่คืนนี้ เราไปซากุระบาร์กับพี่ๆคนไทยดีกว่า อยากท่องโลกีดู
ซากุระบาร์เป็นสถานทีที่ฝรั่งกล้ามโตได้เปรียบวะ
ส่วนพวกกูไม่ได้เทียบชั้นกับแม่งเลย รู้สึกเหมือนเด็กน้อยม.3เจอรุ่นพี่มหาลัยเหยียบไว้จนไม่เกิด
จริงๆมึงยืนข้างกู กูก็ไม่เกิดกันละหละ ...ชิบหาย
โอเคไม่เป็นไร กุไปยืนแดกเหล้าฟรีแล้วนั่งคุยกับพี่คนไทยก็ได้วะ
แอบมองอิเกาหลี เต้นยั่วฝรั่งเหมือนกัน
ไม่ใช่ไร อิจฉาแม่งง กลับไปกุจะออกกำลังกาย รู้ไว้ด้วยยย
...จนป่านนี้หุ่นกูก็เท่าเดิม ขึ้นๆลงๆไม่มีความคงกระพันเลยวะ...
สำหรับเหล้าฟรีที่ลาว จริงๆไม่รู้ทำมาจากเหล้าขาวจริงเปล่า
เห็นน้าบางคนแถวบ้านบอก มันเอามาจากยาดองบางอย่าง
ซึ่งจริงๆก็เห็นเกลื่อนที่หลวงพระบาง มีทั้งงูดอง ตะขาบดอง แมงป่องดอง สารพัด..
แต่ไม่สน ก็อร่อยดี กินง่ายอ้วกคล่อง
การไปซากรุะบาร์ไม่ถึงกับสนุกอะไรมากมาย สำหรับผมนะ
ก็แค่สีสรรค์ในค่ำคืนนั้น ว่างก็แดกเหล้าฟรี
ไม่ว่างก็ไปคุยกับพี่คนไทย
และพอพี่คนไทยกลับไป แม่งกลายเป็นโครตว่างเลยหละ
ก็เลยตัดสินใจเดินไปพยักหน้างกๆท่ามกลางพวกฝรั่ง เกาหลี และชาติพันธุ์ต่างๆ
ดนตรีจากลำโพงแตกๆก็ลอยผ่านหูไปเรื่อย
..กุไม่สนุกเลยมึง..
ก็เลยเดินออกมาหลังร้านเพื่อนั่งตากลมเย็นๆ
และมองวัยรุ่นต่างชาติดมแก๊สลูกโป่งไปพลางๆ
เชี่ย.. แม่งดมจริงจังมาก
ดมไม่หยุด ไม่พัก และไม่รู้ตะวันไปเสือกรู้จักกะเขาได้ไง
แม่งเดินมาคุยที่โต๊ะที่ผมกำลังปลีกวิเวกเฉย
นี่นภ นี่เบ๊น นี่ติ๋ม (เออมึงชื่อติ๋มไปนั่นละในทริปนี้)
ตะวันแนะนำตัวพวผมให้สองวัยรุ่นเกาหลีที่กำลังเมาแก๊สได้รู้
แต่กุว่ามันไม่รู้ส้นตีนอะไรละหละ ณ จุดๆนี้
แม่งขำไม่พักเลย เหมือนเส้นแม่งค้างอะ
แต่เพื่อนอีกคนที่มากับมันก็ไม่ได้เมาอะไรมากนะ
เหมือนควบคุมตัวเองได้ ก็บอกว่าเพื่อนมันบ้าไปแล้ว
... เออ เห็นด้วย มึงพาเพื่อนมึงกลับดีๆละกัน ...
และตะวันก็คุยกับมันไปเรื่อยๆ ส่วนพวกผม3คน นั่งเงียบ
ทั้งเพลีย ทั้งอยากอ้วก และอยากนอน
ไม่สนใจอะไรแล้วหละ
สำหรับคืนนั้น ผมได้แต่เหล้าฟรี ซึ่งก็คือที่รู้สึกถูกใจที่สุด
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดน่าจะ กลับมาอ้วกแตกเอาเบอเกอร์ป้าออกมาหมดเลย
เสียดายวะ แม่งเป็นเบอเกอร์แห่งคำสัญญาระหว่างป้ากับผมเลยนะ
.....
สำหรับค่ำคืนแรกที่วังเวียงก็จบไป
พรุ่งนี้ก็ลุยต่อตามแพลนที่พึ่งได้มาหมาดๆ
แล้วจะมาต่อใหม่ ไม่รู้หลงลืมอะไรไปบ้างพยามนึกแล้วนะ
![]() |
พี่ผู้ชายคนไทยกำลังอุ้มลูก |
![]() |
บายๆ เดี๋ยวมาเขียนใหม่อย่าเพิ่งร้องไห้นะ keep going |
ฝากกดติดตามด้วยนะครับ จะขอบคุณมากๆเลย ฮือฮือ